วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การระดมทรัพยากรของสถานศึกษา

หอประชุมโรงเรียนนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ - เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา (บดินทร์ฯ ๓) ร้องเรียนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาของโรงเรียนที่มิชอบ

รมว.ศธ.กล่าวว่า ผู้ปกครองรายนี้ได้เคยนำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องศาลปกครองกลางแล้วว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว โดยได้รายงานเบื้องต้นพบว่า ศาลปกครองกลางไม่รับฟ้องคดีนี้ เพราะศาลพิจารณาแล้วว่า การดำเนินการของโรงเรียนเป็นในลักษณะของการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ในบริการการศึกษาที่จัดเสริมให้พิเศษนอกเหนือจากการเรียนการสอนตามปกติ ซึ่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ได้เปิดโอกาสให้ระดมทรัพยากรในกรณีเช่นนี้ได้ เพียงแต่ต้องเก็บตามความสมัครใจและต้องไม่รอนสิทธิ์ของนักเรียนปกติ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทราบว่าผู้ปกครองรายนี้ไปร้องต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลจะพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป และจะได้นำคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางมาใช้เป็นบรรทัดฐาน

รมว.ศธ.กล่าวว่า ที่ผ่านมา สพฐ. มีการทำความเข้าใจในเรื่องนี้กับผู้ปกครองเป็นระยะ แต่เมื่อมีข้อสงสัยใดๆเกิดขึ้น ก็พร้อมให้ สพฐ.ตรวจสอบเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตามขอย้ำว่าสถานศึกษาสามารถระดมทรัพยากรได้ คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้ตีความว่า โรงเรียนสามารถเรียกเก็บเงินได้ตามความสมัครของผู้ปกครอง ในกรณีที่โรงเรียนจัดบริการทางการศึกษานอกเหนือมาตรฐาน เช่น จ้างครูต่างประเทศมาสอนภาษอังกฤษ หรือ ค่าเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น แต่ไม่ใช่ว่าโรงเรียนจะเรียกเก็บได้โดยไม่มีขอบเขต หรือทำตามอำเภอใจ ทุกอย่างต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ ซึ่ง รมว.ศธ.ได้ลงนามไปแล้ว โดยระบุชัดเจนว่า โรงเรียนจะเก็บค่าอะไรได้บ้างและเก็บได้ไม่เกินเท่าใด

ทั้งนี้ หากผลการตรวจสอบของ สพฐ. ออกมาว่าโรงเรียนทำผิดนโยบาย ก็ต้องดำเนินการไปตามความผิด แต่ถ้าไม่ผิด โรงเรียนก็สามารถเก็บต่อได้ ซึ่งการระดมทรัพยากรจะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา เพราะงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามปกติ ไม่เพียงพอสำหรับการยกระดับโรงเรียนในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ สำนักนิติการ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ให้ความเห็นว่า ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ซึ่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีต รมว.ศธ. ได้ลงนามไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๑ นั้น เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การระดมทรัพยากรทางการศึกษาตามาตรา ๕๘ ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีความเห็นว่า ศธ.สามารถเก็บเงินบำรุงการศึกษา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนการสอน นอกเหนือหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน

โดยกรณีนี้สถานศึกษา ได้ประกาศให้ผู้ปกครองทราบล่วงหน้าแล้ว และเป็นการออกประกาศ โดยอาศัยอำนาจในการบริหารราชการทั่วไป ของ รมว.ศธ. ที่จะกำหนดแนวปฏิบัติของข้าราชการใน ศธ. ได้ ฉะนั้นแม้ประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่

ไม่มีความคิดเห็น: