วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ ประจำปี ๒๕๕๓


นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ ประจำปี ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๓ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา รังสิต จังหวัดปทุมธานี โดยมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ภาคีเครือข่าย ผู้เรียนและผู้รับบริการ กศน. ผู้บริหาร กศน. ให้การต้อนรับ
รมว.ศธ. กล่าวว่ารัฐบาลโดยการนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้ความสำคัญยิ่งต่อการศึกษาและการรู้หนังสือของประชาชน โดย ศธ.ได้ดำเนินการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ที่กำหนดวิสัยทัศน์คือ คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้เพื่ออำนวยโอกาสให้คนไทยได้เรียนรู้ด้วยวิธีที่หลากหลาย เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพและความต้องการแห่งตน โดยไม่จำกัดสถานที่ และไม่จำกัดเวลา เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นคนไทยยุคใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมแห่งการสร้างสรรค์ และสังคมแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนสืบไป

รมว.ศธ.ได้อ่านสารของนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓

"เนื่องในโอกาส วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ ขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ ๘ กันยายนของทุกปี ได้เวียนมาบรรจบครบรอบปีอีกวาระหนึ่ง นายกรัฐมนตรี ขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องประชาชนและผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเรียนรู้ทุกท่าน

การที่ประชาชนรู้หนังสือและมีความสามารถเข้าใจภาษาในระดับที่เหมาะสม จะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต ช่วยให้สามารถแสวงหาความรู้มาพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถติดต่อสื่อสารในการประกอบอาชีพให้ได้ผลสมบูรณ์ ประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นทรัพยากรบุคคลที่เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า

ในปัจจุบันทุกประเทศทั่วโลกจึงตระหนักในความสำคัญของการส่งเสริมการศึกษาและการรู้หนังสือของประชาชนในประเทศของตน ส่วนประเทศไทยของเรา แม้ว่าส่วนใหญ่ประชาชนจะรู้หนังสือในระดับที่สามารถประกอบอาชีพและดำรงชีวิตตามอัตภาพ แต่ก็ยังมีประชาชนที่ไม่รู้หนังสืออยู่ รัฐบาลจึงมีนโยบายในการส่งเสริมการศึกษาและการรู้หนังสือ เพื่อให้ประชาชนเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ กำหนดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ และวันที่ ๒ เมษายนของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นวันรักการอ่าน ตลอดจนกำหนดให้ช่วงเวลาระหว่างพุทธศักราช ๒๕๕๒ ถึง ๒๕๖๑ เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน เพื่อส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ของประชาชนให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเน้นการสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันผ่านโครงการเรียนฟรี ๑๕ ปีอย่างมีคุณภาพ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่า ๑๒ ล้านคน กำหนดนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง อันเป็นการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ ทั้งการปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการ การปรับปรุงกฎหมายด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร ตลอดจนส่งเสริมการกระจายอำนาจให้หน่วยงานต่างๆ มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านคุณภาพการศึกษา และการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นคุณธรรมนำความรู้อย่างแท้จริง

รัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยถ้วนหน้า จะตระหนักถึงความสำคัญของการรู้หนังสือ และร่วมกันตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะผนึกกำลังกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้พี่น้องชาวไทยทุกคนเป็นผู้รู้หนังสือ มีนิสัยรักการอ่าน รักการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมแห่งการสร้างสรรค์ และสังคมแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อนำพาให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศสืบไป"

ไม่มีความคิดเห็น: