วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๔ เงินงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๙,๒๗๓,๐๐๐ บาท ให้ ศธ.สมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๔ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับจัดสรรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน จำนวน ๑๕ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๔,๒๗๓,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมระหว่างวันที่ ๒๒-๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ โรงแรมรอยัลคลีฟ บีช รีสอร์ท จังหวัดชลบุรี

การประชุมในครั้งนี้ UNESCO ร่วมมือกับประเทศไทยจัดขึ้น โดยเชิญผู้แทนระดับรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมจำนวน ๔๕ ประเทศจากทั่วโลก และผู้นำประเทศจากภูมิภาคต่างๆ เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิด รวมทั้งมีผู้แทนจากราชวงศ์ของต่างประเทศ ผู้นำประเทศจากภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนผู้แทนระดับสูงจำนวนมากเข้าร่วมการประชุม ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้เผยแพร่การดำเนินการจัดการศึกษาเพื่อปวงชนของไทย ในรูปของการจัดกิจกรรมและนิทรรศการเพื่อนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) ตลอดจนผลสำเร็จทางการศึกษาในด้านต่างๆ ให้ผู้มาประชุมครั้งนี้ได้รับทราบ นอกจากนี้ได้จัดให้ผู้แทนระดับสูงได้มีโอกาสเยี่ยมชมสถานศึกษาต่างๆ เพื่อจะได้สัมผัสการเรียนการสอนและการจัดการในสถานศึกษาโดยตรงอีกด้วย

เห็นชอบจัดจ้างพี่เลี้ยงเด็กพิการ

ครม.เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดจ้างพี่เลี้ยงเด็กพิการในโรงเรียนต่อไป ทั้งนี้ให้สำนักงบประมาณและ สพฐ. ร่วมกันพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๔ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว และหากงบประมาณยังไม่เพียงพอให้เสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติเงินงบประมาณต่อไปได้

เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ พ.ศ. ....

ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๘) (รูปแบบการตรากฎหมายในการจัดเก็บภาษี) โดยให้ส่วนราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับข้อเสนอร่างกฎหมายเรื่องใดที่ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรไม่ควรมีบทบัญญัติกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีมาใช้เพื่อกิจการอื่นใด.

รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า ศธ.ยังได้เสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบร่างกฎ ก.พ.อ. ๒ ฉบับ คือ ร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... และร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. .... ซึ่งเรื่องดังกล่าว ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการปรับบัญชีเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนรายเดือนของบุคลากรภาครัฐ ดังนั้น ศธ.จึงเสนอกฎดังกล่าวเพื่อให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงตามตำแหน่งประเภทสายงาน และให้ได้รับเงินเดือนขั้นสูงตามที่ได้กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม ครม.พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรให้ ศธ.และคณะกรรมการเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) ประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมให้เข้าใจรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพราะ ก.พ.ร. ยังมีความกังวลใจในเรื่องการกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์และตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ควรเทียบเคียงกับเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการ ตำแหน่งชำนาญการพิเศษและตำแหน่งเชี่ยวชาญ แต่ ศธ. ยืนยันว่าตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ให้ยึดหลักเช่นเดียวกันกับตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ขยายเพดาน คศ.๕ เท่ากับนักกฎหมายและแพทย์ เพื่อให้ข้าราชการสายผู้สอนได้มีแรงจูงใจในการทำผลงานทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อสอดรับกับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ซึ่งต้องการให้สังคมเข้าใจว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว อัตราเงินเดือนของครูต้องสูงกว่าอาชีพอื่น เพื่อจูงใจให้คนเก่ง คนดีเข้ามาเป็นครู ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา พร้อมด้วยตัวแทน ก.พ.อ. ประชุมหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็วต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: