วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

“คลัง” เตรียมเสนอ ครม. เพิ่มเงินปริญญาตรี 15,000 บาท

นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลเรื่องการปรับรายได้ให้แก่บุคลากรภาครัฐ โดยเฉพาะที่ผู้จบปริญญาตรีเมื่อเข้ามาทำงานในระบบราชการควรมีรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อย 15,000 บาทต่อเดือน ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกรมบัญชีกลาง จึงได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลางไปศึกษาพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

นายวิรุฬ กล่าวว่า โดยหลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไป ที่กรมบัญชีกลางได้เสนอมาก็จะเป็นการกำหนดกลุ่มบุคลากรภาครัฐ ที่จะได้รับการปรับเงินเพิ่มในครั้งนี้ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของกระทรวงการคลัง และอัตราเงินเพิ่มที่จะได้รับตามเงื่อนไขต่าง ๆ ของแต่ละกลุ่มฯ โดยแนวทางจะดำเนินการจ่ายเป็นเงินช่วยค่าครองชีพ (พ.ช.ค.) ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ทันทีตามอำนาจของกระทรวงการคลัง โดยการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลัง โดยกลุ่มบุคลากรภาครัฐที่จะพิจารณาปรับเพิ่มรายได้ครั้งนี้จะครอบคลุม 5 กลุ่ม คือ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณ พนักงานราชการ และทหารกองประจำการ ที่อยู่ในอำนาจการพิจารณณาของกระทรวงการคลังโดยการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลัง และตามฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐจากระบบการเบิกจ่ายเงินเดือนค่าจ้างที่กรมบัญชีกลางกำกับดูแลอยู่นั้น ปัจจุบันมีบุคลากรภาครัฐที่มีเงินเดือนและค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน จำนวน 649,323 คน แบ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้วุฒิปริญญาตรี ขึ้นไป จำนวน 346,365 คน ต่ำกว่าปริญญาตรีโดยรวมถึงทหารกองประจำการจำนวน 302,958 ราย โดยผู้ที่วุฒิปริญญาตรีขึ้นไปจะได้รับเงิน พ.ช.ค. เพิ่มรวมเงินเดือนเป็น 15,000 บาท สำหรับผู้ที่วุฒิต่ำกว่าปริญญาตรียังคงได้รับเงิน พ.ช.ค. 1,500 บาท เช่นเดิม โดยจะขยายเพดานอัตราเงินที่ได้รับเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้กลุ่มที่ได้รับเงินเดือนค่าจ้างและทหารกองประจำการที่ได้รับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงประจำ ไม่ถึง 9,000 บาท ก็จะได้รับเงิน พ.ช.ค. เพิ่มรวมกันให้ได้รับเป็น 9,000 บาท ด้วย โดยจะใช้เงินงบประมาณประมาณปีละ 24,533 ล้านบาท ซึ่งได้มีการศึกษาผลกระทบด้านต่าง ๆ แล้วไม่เป็นปัญหา

“การปรับรายได้ดังกล่าวกระทรวงการคลังได้เสนอแนวทางโดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้บุคลากรภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับภาวะค่าครองชีพและเป็นการช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในเดือนมกราคม 2555 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่บุคลากรภาครัฐ สำหรับกลุ่มอื่น ๆ ได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง
ไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป” นายวิรุฬกล่าว

ที่มา - ข่าวกรมบัญชีกลาง

ไม่มีความคิดเห็น: