"ส่วนขั้นตอนการดำเนินงานด้านงบและรายละเอียดต่างๆ เป็นหน้าที่ของสำนักที่เกี่ยวข้องใน สพฐ.ต้องไปดูแล เช่น การดำเนินการในเรื่องของกฎกติกา เป็นต้น โดยสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สนผ.) รายงานว่าส่วนที่เป็นอัตราจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการ ได้ตั้งงบไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ แล้วเพื่อจ้างต่อ แต่ครูอัตราจ้างสาขาขาดแคลน 5,290 อัตรา ถูกตัดไปในการพิจารณางบชั้นต้น แต่ขณะนี้ สพฐ.ได้เสนอขอแปรญัติงบและได้รับความเห็นชอบให้ตั้งงบส่วนนี้กลับมาแล้ว แต่ยังต้องรอว่าท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร" นายชินภัทรกล่าว
แหล่งข่าวจาก สพฐ.กล่าวว่า กรณีที่กรมบัญชีกลางได้ทำหนังสือแจ้งมายัง สพฐ.ว่าครูอัตราจ้างประมาณ 65,712 อัตรา ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับค่าครองชีพชั่วคราวเพื่อให้มีรายได้รวม 15,000 บาท หากท้ายที่สุดแล้ว เมื่อ สพฐ.เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติ แต่หากไม่ได้รับการอนุมัติงบ อัตราจ้างของปีงบ 2556 ตามที่ สพฐ.เสนอตั้งงบไว้ 8,674 ล้านบาทนั้น จะต้องส่งคืนงบบางส่วนไป โดยอัตราจ้างของ สพฐ.ระดับปริญญาตรีจะต้องรับอัตราค่าจ้างตามเดิมประมาณ 9,000 กว่าบาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
'คุรุสภา'เดินหน้ายกเครื่องตั๋วครูเสียงแตกมองต่างมุม'หนุน-ค้าน'
นายดิเรก พรสีมา ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการปรับเปลี่ยนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู โดยจะแยกออกเป็นใบอนุญาตครูปฐมวัย ครูประถม ครูมัธยม รวมถึงแบ่งออกเป็นใบอนุญาตตามรายวิชา อาทิ ครูสอนวิชาฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ฯลฯ ส่วนครูอาชีวศึกษา จะแยกออกเป็นใบอนุญาตครูผู้สอนตามสาขาวิชา เช่น วิชาช่าง เกษตร บริหาร ว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ข้อสรุป จึงยังไม่ได้นำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภาพิจารณา ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบถามความคิดเห็นภาคส่วนต่างๆ โดยเบื้องต้นพบว่าความคิดเห็นยังแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรมีใบอนุญาตฯใบเดียวตามเดิม เพราะหากแยกเป็นรายวิชาจะสร้างปัญหาให้โรงเรียน เป็นเงื่อนไขให้ครูไม่ยอมสอน ทั้งที่เรามีปัญหาขาดครูมากอยู่แล้ว ขณะที่อีกฝ่ายเห็นด้วยเพื่อจะได้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้ครูเฉพาะทาง ซึ่งหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วครูจะมีใบอนุญาตฯเฉพาะทางเกือบทั้งหมด ทั้งนี้ เรื่องนี้คงต้องหารือร่วมกันต่อไป เพราะหากจะปรับเปลี่ยนจริงๆ จะต้องไปแก้ข้อบังคับมาตรฐานความรู้วิชาชีพครู 9 มาตรฐาน และปรับปรุงใหม่ให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ด้านนายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ใบอนุญาตฯปัจจุบันเหมาะสำหรับครูระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงของการปูพื้นฐานวิชาต่างๆ แต่เมื่อถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตนเห็นด้วยว่าควรจะแยกออกเป็นรายวิชา เพราะโลกในอนาคตต้องการครูที่มีทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น ที่สำคัญต่อไปการขอใบอนุญาตฯมีความชัดเจนมากขึ้น คนที่เรียนครูสามารถเลือกเรียนในวิชาที่สนใจมากขึ้น ขณะที่สถาบันฝ่ายผลิตครูก็จะต้องปรับปรุงการเรียนการสอนในแต่ละวิชาให้เข้มขึ้นเพื่อผลิตครูให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด ส่วนกรณีที่มีผู้คัดค้าน เพราะกังวลว่าหากแยกใบอนุญาตฯเป็นรายวิชา จะทำให้ครูไปสอนวิชาอื่นไม่ได้และกลัวจะขาดแคลนครูมากขึ้นนั้น ตนเห็นว่าขณะนี้ทุกภาคส่วนกำลังเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนครูอยู่แล้ว เชื่อว่าในอนาคตปัญหาเหล่านี้จะค่อยๆ เบาบางลง ดังนั้น จึงไม่อยากให้มองที่ปัญหาเป็นตัวตั้ง แต่อยากให้มองถึงอนาคตมากกว่า
"การปรับเปลี่ยนการขอใบอนุญาตฯจะทำให้สถาบันฝ่ายผลิตครูต้องคิดว่าจะปรับตัวอย่างไร ที่จะพาครูไปสู่วิชาชีพอย่างมีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่หากเราไปกังวลและคิดถึงปัญหาเป็นที่ตั้ง จะทำให้ก้าวไปไหนไม่ได้เหมือนถูกบล็อก" นายสมพงษ์กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น