วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ก.ค.ศ.ปรับประเมินวิทยฐานะ 'ว 17'

นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยความคืบหน้าในการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการ และกรอบการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ หรือ ว17 ว่า หลังจาก ก.ค.ศ.ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ตามหลักเกณฑ์ ว17/2552 มาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปีเศษ โดยได้พบปัญหาที่เกิดขึ้นจากหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวหลายเรื่อง เช่น ปัญหาเรื่องแบบฟอร์มการประเมิน ตัวชี้วัดเกี่ยวกับกิจกรรมที่นำเสนอในการขอรับการประเมิน การคิดค่าเปรียบเทียบของการพัฒนาผู้เรียน ตลอดจนความไม่เข้าใจในการกรอกรายละเอียดต่างๆ เป็นต้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับแก้หลักเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อลดปัญหา ที่สำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ต้องการให้การประเมินวิทยฐานะมีตัวชี้วัดที่มีความชัดเจน สามารถวัด และตรวจสอบได้ ซึ่งตัวชี้วัด ดังกล่าวต้องส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของ ผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น
          นางศิริพรกล่าวต่อว่า ขณะนี้ ก.ค.ศ.ได้ข้อสรุปเบื้องต้นในประเด็นที่จะต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์แล้ว ในสายการสอน สายบริหารสถานศึกษา สายบริหารการศึกษา และสายงานนิเทศการศึกษา อาทิ การยื่นคำขอกรณีเกษียณอายุราชการ ให้ ก.ค.ศ.ปรับวิธีการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และส่วนราชการส่งคำขอถึงสำนักงาน ก.ค.ศ.เพื่อให้สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนเกษียณ กรรมการประเมินชุดที่ 1 ที่จะประเมินวิทยฐานะเชี่ยวชาญสายการสอน ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ ต้องกำหนดนิยามให้ชัดเจนว่าจะแต่งตั้งใครเป็นกรรมการได้บ้าง ส่วนกรรมการคนที่ 3 ที่กำหนดให้มีวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเป็นคนในเขตพื้นที่การศึกษานั้น หายาก และบางเขตพื้นที่การศึกษาไม่สามารถหาได้ ก.ค.ศ.อาจจะแจ้งชื่อข้าราชการครูที่มีวิทยฐานะเชี่ยวชาญให้ทุกเขตพื้นที่การ ศึกษาทราบ เพื่อเป็นข้อมูลในการแต่งตั้งในสายงานการสอน เป็นต้น
          "ทั้งนี้ การประเมิน ว17 จะเน้นนำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมาใช้ในการประเมินกับทุกกลุ่ม จากเดิมอาจจะกำหนดไว้บางกลุ่มเท่านั้น โดยเฉพาะการนำไปใช้ประเมินในกลุ่มสายการสอน ส่วนสายงานบริหารสถานศึกษาจะต้องปรับให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดของสำนักงาน รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ที่ได้เริ่มประเมินในรอบที่สามแล้ว แต่เกณฑ์ตัวชี้วัดใน ว17 ปัจจุบันยังใช้เกณฑ์รอบสอง อย่างไรก็ตาม เมื่อปรับเกณฑ์ประเมิน ว17 เสร็จแล้ว จะเสนอคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป โดยคาดว่าภายในเดือนสิงหาคมนี้จะแล้วเสร็จ" นางศิริพรกล่าว 


ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน


คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: เงินเพิ่มสำหรับครูการศึกษาพิเศษ

          ศิริพร  กิจเกื้อกูล   เลขาธิการ ก.ค.ศ.
          การทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีทั้ง จัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กปกติ และเด็กที่มีความพิการ จึงจำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษเฉพาะทาง ซึ่งจะมีเงินเพิ่มพิเศษให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากลุ่มนี้ โดยเรียกว่า เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติหน้าที่ครูการศึกษาพิเศษและครูการศึกษาพิเศษกรณีเรียนร่วม หรือ พ.ค.ศ. ซึ่งได้มีการประกาศใช้มาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ขณะนี้สภาวการณ์ต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป ก.ค.ศ. ภายใต้การบริหารงานของศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงเห็นควรได้มีการปรับปรุง พ.ค.ศ.ให้เป็นปัจจุบัน โดย ก.ค.ศ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 มีมติเห็นชอบร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่ครูการศึกษาพิเศษและครูการศึกษาพิเศษกรณีเรียน ร่วม พ.ศ.... เพื่อนำเสนอให้ ครม.พิจารณา โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจคือ "พ.ค.ศ." ให้จ่ายเดือนละ 2,500 บาท (เดิมจ่ายเดือนละ 2,000 บาท ทั้งนี้ ปรับให้เท่ากับ ก.พ.)
          ครูการศึกษาพิเศษ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับ พ.ค.ศ. จะต้องมีวุฒิปริญญาทางการศึกษาพิเศษหรือเป็นผู้ผ่านการอบรมด้านการศึกษา พิเศษ ตามหลักสูตรที่ ก.ค. หรือ ก.ค.ศ.รับรอง โดยมีเวลาทำการสอน ดังนี้ 1) ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้สอนในสถานศึกษาและได้ปฏิบัติหน้าที่ครูการศึกษาพิเศษ ต้องมีเวลาทำการสอนไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 18 หน่วยชั่วโมง 2) ผู้ที่มีหน้าที่เป็นผู้บริหารและให้การศึกษาในสถานศึกษาที่ปฏิบัติงานในฐานะ รองผู้อำนวยการสถานศึกษาในสถานศึกษาที่เปิดสอนเฉพาะคนพิการและได้ปฏิบัติ หน้าที่ครูการศึกษาพิเศษต้องมีเวลาทำการสอนไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 8 หน่วยชั่วโมง 3) ผู้ที่มีหน้าที่เป็นผู้บริหารและให้การศึกษาในสถานศึกษาที่ปฏิบัติงานในฐานะ ผู้อำนวยการสถานศึกษาในสถานศึกษาที่เปิดสอนเฉพาะคนพิการและได้ปฏิบัติ หน้าที่ครูการศึกษาพิเศษต้องมีเวลาทำการสอนไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 5 หน่วยชั่วโมง
          ครูการศึกษาพิเศษกรณีเรียนร่วม ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับ พ.ค.ศ. จะต้องมีวุฒิปริญญาทางการศึกษาพิเศษหรือเป็นผู้ผ่านการอบรมด้านการศึกษา พิเศษ ตามหลักสูตรที่ ก.ค. หรือ ก.ค.ศ.รับรอง โดยต้องมีเวลาทำการสอนและต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษาของคนพิการในจำนวน อัตราครู 1 คนต่อคนพิการ ดังนี้ 1) ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นครูประจำชั้นพิเศษกรณีเรียนร่วม ต้องมีเวลาทำการสอนและ/หรือมีเวลาปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน คนพิการไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 18 หน่วยชั่วโมง และรับผิดชอบสอนคนพิการไม่น้อยกว่า 6 คน 2) ผู้ซึ่งมีหน้าที่เป็นครูเสริมวิชาการกรณีเรียนร่วม ต้องมีเวลาทำการสอนและ/หรือมีเวลาปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน คนพิการไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ  18 หน่วยชั่วโมง และรับผิดชอบสอนคนพิการไม่น้อยกว่า 6 คน 3)ผู้ซึ่งมีหน้าที่เป็นครูเดินสอนกรณีเรียนร่วม ต้องมีเวลาทำการสอนและ/หรือมีเวลาปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน คนพิการไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 18 หน่วยชั่วโมง จำนวนสถานศึกษาไม่น้อยกว่า 2 แห่ง และรับผิดชอบสอนคนพิการไม่น้อยกว่า 3 คน และ 4) ผู้ซึ่งมีหน้าที่เป็นครูประจำชั้นกรณีเรียนร่วม ต้องมีเวลาทำการสอนและ/หรือมีเวลาปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน คนพิการไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 18 หน่วยชั่วโมง และต้องปฏิบัติหน้าที่ครูเสริมวิชาการให้กับคนพิการเพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า สัปดาห์ละ 5 หน่วยชั่วโมง และรับผิดชอบสอนคนพิการไม่น้อยกว่า 3 คน
          ทั้งนี้ การนับหน่วยชั่วโมง ต้องไม่น้อยกว่า 50 นาที และการขอรับ พ.ค.ศ. ให้ยื่นคำขอรับ พ.ค.ศ. ตามแบบที่ ก.ค.ศ.กำหนด พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อ ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบและรับรองตามลำดับ เพื่อเสนอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ.ตั้งพิจารณาอนุมัติ นอกจากนี้ ก.ค.ศ.ยังมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทาง การศึกษา เพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัด/อำเภอ และตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย ซึ่งจะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป


ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

ไม่มีความคิดเห็น: