วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รมว.ศธ.จี้ 5 องค์กรหลักร่วมปฏิรูป มุ่ง'เรียนรู้-ผลสัมฤทธิ์'เด็กไทยสูงขึ้น

 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ ผู้บริหารระดับสูง 5 องค์กรหลักของ ศธ.ว่า ได้รับฟังรายงานความคืบหน้า ข้อเสนอแนะ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานเรื่องต่างๆ ของสำนักงานปลัด ศธ.และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยพบว่าแต่ละหน่วยงานนำนโยบายของรัฐบาลในด้านการศึกษามาจำแนกแยกแยะ และพัฒนาเป็นแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างดี และมีความชัดเจนในหลายเรื่อง เพื่อให้นโยบายเดินไปสู่เป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งในส่วนของการนำไปปฏิบัตินั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่าแต่ละ ส่วนจะทำอย่างไร โดยอยากให้ประสาน และเชื่อมโยงกันทุกหน่วยงานใน 5 องค์กรหลัก โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน หรือการเรียนรู้ การพัฒนาครู การทดสอบการวัดผล และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ที่จะต้องนำไปอิงกับการจัดอันดับในการประเมินขององค์กรระหว่างประเทศ อีกทั้ง จะต้องพัฒนาระบบประเมินของไทยให้ดี และมีมาตรฐานมากขึ้นด้วย
          "เรื่องที่สำคัญมาก และต้องทำโดยเร็ว คือการปฏิรูปการเรียนรู้ การเรียนการสอน ที่ต้องคู่ขนานไปกับการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่กว่าจะเริ่มใช้อย่างทั่วถึงก็น่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี ฉะนั้น ระหว่างนี้จะทำอย่างไรให้การเรียนการสอนมีผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้น และตอนนี้มีวิทยาการใหม่ๆ เกิดขึ้นในยุคอินเตอร์เน็ต การเรียนในยุคใหม่ต้องหาวิธีให้เด็กคิดเป็น และอธิบายได้ ไม่ใช่ให้เด็กค้นคำตอบทางอินเตอร์เน็ตแล้วนำมาตัดแปะส่งรูปเท่านั้น อีกทั้ง ควรต้องปรับการเรียนการสอนใหม่ๆ ในหลายๆ วิชา" นายจาตุรนต์กล่าว
          นายจาตุรนต์กล่าวว่า ส่วนการจัดทดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ต้องดูว่ามาตรฐาน และความเชื่อมโยงกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น การออกข้อสอบนอกหลักสูตรหรือไม่ จนทำให้ผลคะแนนต่ำ หรือกรณีที่ผลคะแนนสูง อาจเป็นเพราะเด็กไปเรียนนอกตำรา เป็นต้น สำหรับเรื่องคอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ตนั้น เรื่องใหญ่คือเนื้อหาสาระที่ป้อนเข้าไปในแท็บเล็ต เพราะไม่ใช่เอาเนื้อหาอะไรใส่เข้าไปก็ได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

ผลิตนศ.'เก่งอาชีพเก่งอาเซียน'

          ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า การเปิดสอนหลักสูตรอาชีวศึกษาเกษตรในระดับปริญญาตรีนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเกษตรต้องกำหนดเป้าหมายที่จะให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นชัดเจน บูรณาการทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งนี้ การเปิดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาเกษตร ระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการหรือสายเทคโนโลยี ต้องเน้นความร่วมมือระบบทวิภาคีกับสถานประกอบการอย่างน้อย 50% เปิดรับนักเรียนเข้าศึกษาจำนวนน้อยแต่มีคุณภาพสูง สามารถรับประกันได้ว่า เมื่อนักศึกษาจบหลักสูตรแล้วมีคุณภาพ มีมาตรฐาน มีประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการ ต้องเป็นคนเก่งอาชีพ เก่งอาเซียน เก่งคิด เก่งวิเคราะห์ และรู้จักบูรณาการ
          ทั้งนี้ นักศึกษารุ่นแรกของสถาบันต้องฝึกประสบการณ์ในต่างประเทศ เก่งภาษาอังกฤษ และดึงนักศึกษาที่จบ ปวส. ที่มีผลการเรียนดีเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ดังนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเกษตร จึงมีหน้าที่ทำให้ภาคการเกษตรมีคุณภาพสูงขึ้น มีความเก่งเฉพาะทาง โดยมีภารกิจจัดการเรียนการสอน การวิจัย และเน้นการบริการสังคม
          นอกจากนี้ สถาบันต้องทำการวิเคราะห์ตัวแปรทางสังคม ประชากรส่วนใหญ่ 41% อยู่ภาคบริการ รองลงมาเป็นภาคเกษตร 38% คิดเป็น 14.7 ล้านคน ซึ่งสังคมคาดหวังว่าภาคการเกษตรจะเป็นตัวขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สถาบันจะต้องหาแนวทางแก้ไขและปรับปรุง ตัวแปรด้านเศรษฐกิจ มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างเกษตรกรกับพ่อค้าคนกลาง หลักสูตรเกษตรจะต้องเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการด้านทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เกาะติดการปฏิรูปการศึกษาไทย 2

          เพชร เหมือนพันธุ์
          การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้เป็นความหวังของอนาคตประเทศไทย ยุคไทยก้าวเข้าสู่อาเซียน AEC อยากเปรียบเทียบให้เห็นความชัดเจนว่า การออกแบบปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา ก็เสมือนการสร้างบ้าน การสร้างบ้านจะให้มีความมั่นคงแข็งแรงสวยงามเพียงใด ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสองส่วนคือ หนึ่ง แบบรูปรายการ หรือพิมพ์เขียว (Blue Print) และสอง ช่างก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญแบบรูปรายการจะเป็นเค้าโครงที่บ่งบอกถึงรูปโครงสร้างหน้าตาของอาคาร อยากให้เป็นทรงสเปน ทรงอิตาลี ทรงไทย หรือทรงโมเดิร์น อย่างไรก็อยู่ที่ผู้เขียนแบบจะกำหนด อยากให้มีห้องเล็ก มีห้องใหญ่ มีห้องใต้ดินก็จะอยู่ที่ผู้เขียนแบบ ส่วนจะให้เกิดความมั่นคง แข็งแรง สวยงามอย่างไรอยู่ที่ฝีมือช่างก่อสร้าง
          หลักสูตรใหม่กระทรวงศึกษาฯกำลังออกแบบอยู่ขณะนี้ก็เปรียบเสมือนกำลังออกแบบพิมพ์เขียว (Blue Print) หลักสูตรทางการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ ภาพที่ปรากฏผ่านสื่อคือ ลดเวลาเรียนในห้องลง จากปีละ 1,000-1,200 เหลือ 600-800 ชั่วโมง จัดกลุ่มสาระวิชาออกเป็น 6 กลุ่มสาระวิชา ลดลงจากเดิมที่มี 8 สาระวิชา ในระดับชั้นประถมศึกษาจะเรียนวันละ 5 คาบ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาเรียนวันละ 6 คาบ โดยจะจัดให้มีการเรียนนอกห้องเรียนปีละ 400 ชั่วโมง
          เห็นหน้าตาพิมพ์เขียวหลักสูตรที่ออกมาแล้วรู้สึกว่าเป็นอย่างไรครับ ดูแบบพิมพ์เขียวก่อนที่จะนำไปก่อสร้างในปีการศึกษาหน้า
          การจัดการเรียนนอกห้องเรียนปีละ 400 ชั่วโมง จะจัดการเรียนอย่างไรเพื่อให้เด็กได้ฝึกฝนตนเองกิจกรรมหลายอย่างทางโรงเรียนจัดไว้ให้ จัดเป็นชุมนุมกิจกรรมต่างๆ (Club) เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ อาสาพัฒนา หรืออาจเป็นกิจกรรมนอกโรงเรียนเช่น สมัครเป็นสมาชิกชมรมนักฟุตบอลของชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ ซึ่งในต่างประเทศมีชมรมภายนอกโรงเรียนมากมาย ส่วนในเมืองไทยยังไม่ชัดเจน เวลาส่วนนี้ 400 ชั่วโมง กระทรวงศึกษาธิการจะออกแบบให้สถานศึกษาบริหารอย่างไรจึงจะมีคุณภาพ มีตัวอย่างให้ดูในหลายประเทศ
          สอนให้น้อย เรียนให้มาก (Teach Less Learn more) ในประเทศสิงคโปร์ที่ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเขาอยู่ในลำดับที่ 5 ของโลกใช้วิธีการเรียนการสอนเช่นนี้ คือครูจะสอนเด็กไม่ใช้เวลามาก แต่จะให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติ ได้สร้างทักษะ สร้างความชำนาญการเรียนรู้และแก้ปัญหาให้แก่ตนเอง ในประเทศเยอรมนี เด็กนักเรียนจะเรียนในภาคเช้าเต็ม เรียนภาคบ่าย 1-2 ชั่วโมง ถึงบ่ายสองโมง หลังจากนั้นเด็กจะกลับบ้าน หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เขาสนใจ ชมรมต่างๆ เข้าคลับ (Club) แม้เด็กเขาจะเรียนในห้องน้อย แต่เขาเรียนหนักกว่าเด็กไทย ครูเขาจะพูดน้อย แต่เด็กเขาจะเรียนมาก ครูเขาจะให้เด็กได้ฝึก ได้ทำกิจกรรมมาก ส่วนเด็กไทยที่ผ่านมาจะเรียนมาก ทำกิจกรรมน้อย เปรียบเสมือนเราใช้เวลาเรียนปั่นจักรยาน หรือเรียนว่ายน้ำอยู่ในห้องเรียนมากเกินไป แต่ไม่ได้ลงไปฝึกในสนามหรือไม่ได้ลงไปสระว่ายน้ำ การศึกษาไทยจึงคุณภาพลดลงโดยลำดับ
          หลักสูตรและครูผู้สอนจึงมีความสัมพันธ์กันมาโดยตลอด เสมือนคนเขียนพิมพ์เขียวกับช่างก่อสร้าง ช่างก่อสร้างก็เหมือนครู สามารถพัฒนา สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะโดยทักษะ พื้นฐานเขาเป็นช่างโดยอาชีพอยู่แล้ว แม้ว่าจะมี นวัตกรรมใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเขาก็สามารถใช้วัสดุเหล่านั้นก่อสร้างได้ ครูก็สามารถพัฒนาวิธีสอนของตนเองได้เร็วเช่นกัน ขอเพียงผู้ออกแบบเขียนแบบได้ชี้แจงให้เข้าใจก่อน ใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม บ้านหลังใหม่ก็จะเกิดขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียนแบบ
          ถ้าได้ช่างเก่งๆ ได้ครูเก่ง สิ่งก่อสร้างที่ออกมาก็อาจได้คุณภาพตามแบบที่กำหนดถึง 100 เปอร์เซ็นต์
          สร้างบ้านตามแบบพิมพ์เขียวเสร็จแล้ว สอนเด็กให้เรียนตามหลักสูตรใหม่จบแล้ว ไม่ทราบว่าจะถูกใจเจ้าของบ้านจะถูกใจผู้เข้าอยู่อาศัย จะพอใจผู้นำผลผลิตไปใช้หรือเปล่า บางครั้งสร้างเสร็จก็จะได้คำตอบทันที แต่บางครั้งต้องใช้เวลาหลายปี หลักสูตรใหม่ก็เช่นกัน การทดลองสร้าง การทดลองใช้ การ (Try Out) จึงมีความจำเป็น เคยจำได้ไหมครับ บ้านทรงสเปนเคยเป็นที่นิยม เข้ามาสู่เมืองไทยเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้บ้านทรงนั้น อยู่อาศัยไม่ได้แล้ว ไม่เหมาะกับอากาศเมืองไทย
          สิ่งที่ผู้ปกครองต้องการคือ ระดับประถมศึกษา ป.1-ป.6 ขอให้ลูกอ่านออก เขียนได้ คิดเลขคล่อง เข้ากับเพื่อนได้ มีนิสัยดีใฝ่รู้ใฝ่เรียน ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีแสวงหาความรู้ ได้มีวัฒนธรรมของรักความเป็นไทยเท่านั้นเอง ส่วนในมัธยมศึกษาตอนต้น ม.1-ม.3 เป็นช่วงวัยเด็กที่จะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น โดยธรรมชาติ เด็กต้องการมีสมบัติส่วนตัวที่สามารถผลิตได้ด้วยตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้บางส่วน ต้องการเรียนรู้ประสบการณ์ในทักษะการผลิตเบื้องต้น เช่น เรียนรู้งานไม้ ลานปูน งานไฟฟ้า งานเกษตร อยากเป็นนักแสวงหา วิชาช่างพื้นฐานเด็กควรได้เรียนรู้และได้ฝึกปฏิบัติในระดับนี้ ส่วนในระดับ ม.ปลาย คือชั้น ม.4-ม.6 เด็กควรจะได้เลือกแล้วว่าตนเองจะเรียนในสายวิชาชีพ หรือสายวิชาการ เมื่อได้เลือกเรียนสายใดแล้วเด็กก็จะได้ตั้งใจมุ่งไปสู่ความสำคัญในสายนั้น
          น่าเสียดายที่หลักสูตรในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ตอบคำถามเหล่านี้
          ไม่อยากเห็นความล้มเหลวในการปฏิรูปหลักสูตรในครั้งนี้ มีอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งที่อยากยกมาประกอบคือ เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ผู้เขียนได้ไปดูงานโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ในภาคอีสานหลายจังหวัด ผลผลิตแป้งมันได้ส่งไปขายยังต่างประเทศทั้งในยุโรปและประเทศจีน ได้ทราบว่าลูกชายได้เข้ามาช่วยดูแลบริษัทด้วย ผมก็ได้คุยเรื่องการศึกษาของลูกชายเจ้าของบริษัทแห่งนี้ ท่านได้เล่าให้ฟังมาสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ลูกชายของท่านได้เข้าเรียนในหลายโรงเรียน เรียนแล้วก็มีปัญหา ถูกครูกล่าวหาว่าไม่รับผิดชอบ เรียนโง่ เรียนไม่ทันเพื่อน ท่านได้ส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนดังๆ ในกรุงเทพ ก็เรียนไม่จบ มีข้อกล่าวหาเช่นเดิม
          จนในที่สุด ท่านได้ตัดสินใจส่งลูกไปเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ประเทศสิงคโปร์ เพียงปีเดียวลูกชายของท่านก็พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง สื่อสารภาษาจีนได้ ผลการเรียนดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ท่านก็เลยสรุปว่า วิธีเรียน วิธีสอนในโรงเรียนในประเทศสิงคโปร์แตกต่างจากประเทศไทย เขาสามารถสอนเด็กโง่ให้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดได้ ปัจจุบันท่านก็ได้ลูกชายที่เรียนจบจากสิงคโปร์คนนี้มาช่วยงานบริษัทของท่าน
          นักปฏิรูปและนักศึกษาทั้งหลายไม่ลองหันกลับมาดูข้อผิดพลาดบางประการของตนเองบ้างหรือครับ ปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอน ยืมแทคติค ดีๆ ของเขามาใช้ เผื่อจะได้ประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้
          "เด็กไทยที่ผ่านมา จะเรียนมาก ทำกิจกรรมน้อย เปรียบเสมือนเราใช้ เวลาเรียนปั่นจักรยาน  หรือเรียนว่ายน้ำอยู่ในห้องเรียนมากเกินไป  การศึกษาไทยจึงคุณภาพลดลงโดยลำดับ"
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

ไม่มีความคิดเห็น: