รมว.ศธ.กล่าวถึงบทบาทของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.ส่วนราชการ ที่มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการบริหารงานบุคคล ให้ความเห็นชอบการบรรจุและแต่งตั้ง พิจารณาความดีความชอบ พิจารณาดำเนินการทางวินัย การออกจาราชการ การอุทธรณ์ร้องทุกข์ ปกป้องคุ้มครองระบบคุณธรรม ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนา เสริมสร้างขวัญกำลังใจ จัดสวัสดิการและยกย่องเชิดชูเกียรติ ตลอดทั้งกำกับดูแล ติดตาม ประเมินผลการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในหน่วยงานการศึกษา ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างมาก
ในส่วนของนโยบาย ศธ.ที่ประกาศว่า จะเร่งการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยให้เชื่อมโยงกับทุกส่วน ทั้งการผลิตและพัฒนาครู พัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะครูที่เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนมากขึ้น ดูแลระบบสวัสดิการครูเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจ เร่งนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้ พัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมจัดอาชีวศึกษาตลอดกระบวนการ เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้น อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.ส่วนราชการ จึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและ ศธ.ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
โอกาสนี้ รมว.ศธ.ได้ฝากที่ประชุมให้ช่วยคิดและเสนอแนะในเรื่องต่างๆ ดังนี้
● ต้องเป็นงานบริหารบุคคลที่สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ขณะนี้ประเทศกำลังต้องการคนที่มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ต้องพัฒนาคนเพื่อไปพัฒนาประเทศ และต้องมีวิธีวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยวัดการศึกษาด้วยระบบให้เกรดและไม่มีการวัดผลกลางเป็นเวลากว่า 20 ปี ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นอย่างไร มีเพียงความรู้สึกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา เช่น เหตุใดเด็กอ่านหนังสือไม่ออก แต่ในระยะหลังมีการวัด National Test (NT) ในระดับ ป.3 ป.6 ซึ่งผลล่าสุดพบว่า เด็กไทยก็ยังอ่อนวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ และวิชาอื่น แต่การวัดผลที่เป็นมาตรฐานทั้งระบบยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ศธ.ต้องหาวิธีวัดผลสัมฤทธิ์การศึกษาในวิชาที่สำคัญ โดยเฉพาะวิชาที่ขาดแคลนครูจำนวนมาก ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
● เกลี่ยครูเกินไปยังโรงเรียนที่ขาดครู จะทำอย่างไรให้มีการเกลี่ยครูไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่ขาดแคลน ทั้งการเกลี่ยจำนวนครูจากที่มีครูมาก กระจายไปอยู่ในที่ที่มีครูน้อย และการเกลี่ยครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลนให้กระจายออกไป นอกจากนี้ยังมีการเกลี่ยครูอีกแบบคือ การย้ายครูกลับภูมิลำเนา เช่น โครงการครูคืนถิ่น แต่ยังมีปัญหาเรื่องกติกาที่บอกว่าโรงเรียนเกินเกณฑ์ที่ทุกตำแหน่งมีคนครองอยู่ สามารถดำเนินการได้เฉพาะกรณีที่มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสมัครใจย้ายออกไปช่วยราชการในสถานศึกษาอื่นเท่านั้น ซึ่งเป็นกติกานี้ต้องเอื้อให้ครูที่ต้องการย้ายกลับบ้านได้ย้าย ประกอบกับการปรับโครงสร้างให้มีเขตพื้นที่การศึกษามีเจตนาให้คนในพื้นที่ได้สมัครในเขตพื้นที่นั้น เพื่อแก้ปัญหาการย้ายครูกลับภูมิลำเนา เช่น ครูอยู่หาดใหญ่ต้องการย้ายกลับบ้านที่แม่ฮ่องสอน แต่ในระยะหลังการดำเนินงานกลับมาในแนวทางเดิม ทำให้ไม่สามารถย้ายกลับบ้านได้
● การให้ความดีความชอบจากผลการทำงานของครู ทำอย่างไรให้การบริหารจัดการบุคลากรมีความเชื่อมโยงกับการทำงาน และผลการเรียนการสอนของครู ก็คือผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ซึ่งได้รับเสียงสะท้อนจากผู้อำนวยการโรงเรียนว่า ไม่ว่าครูจะที่ทำงานดีหรือจะทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ก็จะต้องได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเหมือนกัน โดยที่ผู้อำนวยการโรงเรียนและ อ.ค.ค.ศ.ไม่สามารถให้ความดีความชอบตามการทำงานได้ ซึ่งต้องช่วยกันคิดต่อไปว่าควรแก้ไขระบบนี้หรือไม่ หากต้องแก้ไขจะแก้อย่างไร โดยมุ่งไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
นอกจากนี้ ฝากให้ที่ประชุมช่วยเสนอความเห็นเพื่อปรับบทบาทของ อ.ก.ค.ศ.อย่างเต็มที่ รวมทั้งเสนอแนะปัญหาที่ต้องการให้ ก.ค.ศ.ปรับเปลี่ยนกติกา เพื่อส่งเสริมและกระจายบทบาท อ.ก.ค.ศ.มากขึ้น แต่ต้องกำหนดว่ากระจายไปทำอะไร อะไรที่ต้องทำร่วมกัน เช่น คุณภาพ ผลสัมฤทธิ์ ความเป็นธรรม การลงโทษเป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่มีในรายละเอียดอยู่ในการสร้างสรรค์ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาในแต่ละเขตได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น