ศธ.เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนเรียนต่อสายอาชีพ
ศธ.เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนเรียนต่อสายอาชีพลดสายสามัญ ตั้งเป้าดูดเด็กที่เคยคิดต่อม.ปลายสายสามัญให้สมัครใจย้ายมาเรียนสายอาชีพ “จาตรุนต์“ เตรียมคุมเข้มจำนวนนักเรียนต่อห้องของโรงเรียนมัธยม
วานนี้(9 ก.ย.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ตนได้เชิญนักวิชาการ นักการศึกษา ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านการศึกษามาประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อยกร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งที่ประชุมได้หยิบยกเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนต่อสายอาชีพเป็น 51 % ลดสัดส่วนผู้เรียนต่อสายสามัญให้เหลือ 49 % ภายในปี 2558 ขึ้นมาหารือเพราะปัจจุบันนักเรียนที่จบ ม.3 ปีละประมาณ 9 แสนคนจะเลือกเรียนต่อสายสามัญในสัดส่วนกว่า 60 % ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศและไม่ตรงความต้องการของตลาดแรงงานในประเทศ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานฝีมือในสาขาต่างๆ จำนวนมาก แต่กลับไม่มีกำลังคนป้อนเข้าไปได้อย่างเพียงพอ เพราะเด็กส่วนใหญ่เลือกเรียนต่อสายสามัญมากกว่าสายอาชีพ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่าหากจะขับเคลื่อนการปรับสัดส่วนผู้เรียนต่อสายอาชีพและสายสามัญให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทุกฝ่ายเห็นว่าจะต้องเป็นความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพราะที่ผ่านมาพบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่สนใจแนะแนวการเรียนต่อสายอาชีพให้เด็ก เพราะต้องการดึงเด็กให้เรียนต่อม.ปลาย ดังนั้น ศธ.จึงต้องการให้ สอศ.และ สพฐ.มาทำงานร่วมกัน โดยจะให้สพฐ.เป็นผู้ขับเคลื่อนเรื่องนี้เป็นหลักพร้อมสั่งการให้โรงเรียนแต่ละแห่งต้องกระตือรือร้นที่จะจัดการแนะแนวเรียนต่อสายอาชีพให้แก่นักเรียนของตัวเองอย่างจริงจังด้วย
นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันนักเรียนจบม.3 ปีละ 9 แสนคน เลือกเรียนต่อสายสามัญประมาณ 5 แสนคน สายอาชีพอาชีพ 3 แสนคน และเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่ได้เรียนต่อ 1 แสนคน ซึ่งหากจะปรับสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีพให้เป็น 51% เท่ากับว่าจะต้องมีผู้เลือกเรียนสายอาชีพประมาณ 4.6 แสนคน เพราะฉะนั้นจะต้องหาผู้เรียนมาเพิ่มอีกประมาณ 1.5 แสนคน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่จะดึงดูดมาได้มี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ เด็กที่ไม่เรียนต่อปีละ 1 แสนคนให้เปลี่ยนใจเรียนต่อสายอาชีพจำนวน 5 หมื่นคน อีกกลุ่ม คือ เด็กที่จะเลือกเรียนต่อสายสามัญให้หันมาเรียนสาอาชีพอีกประมาณ 1.2 แสนคน อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวจะไม่ใช้วิธีการบังคับ แต่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของเด็กและผู้ปกครอง โดยพยายามพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยอาชีพพร้อมรณรงค์ต่างๆ เพื่อเปลี่ยนค่านิยมของสังคม โดยเฉพาะการรณรงค์จุดแข็งว่า เรียนอาชีวะแล้วมีงานทำ มีรายได้สูง
“นอกจากหาทางเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีพแล้ว ยังต้องรักษาคุณภาพของการเรียนสายอาชีพด้วย ซึ่งอาจจะต้องมีการทบทวนรายละเอียดนโยบายเรียนจบ ม.6 ภายใน 8 เดือน ของกศน. เนื่องจากปัจจุบัน มีนักเรียน ปวช.ที่เรียนไม่ไหวหรือไม่อยากเรียนได้หนีมาเรียนโครงการนี้ของ กศน.แทน ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการศึกษาอาชีวะอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น กศน.จะต้องไปทบทวนรายละเอียดของโครงการนี้ใหม่ไม่ว่าจะเป็น หลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์เข้าโครงการต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า ต้องเป็นคนมีประสบการณ์ มีสมรรถนะทางอาชีพมาแล้วมาเรียนต่อ ไม่ใช่จบม.3 แล้งก็ดิ่งมาเรียนสั้นๆ กับ กศน.” นายจาตุรนต์ กล่าว
วานนี้(9 ก.ย.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ตนได้เชิญนักวิชาการ นักการศึกษา ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านการศึกษามาประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อยกร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งที่ประชุมได้หยิบยกเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนต่อสายอาชีพเป็น 51 % ลดสัดส่วนผู้เรียนต่อสายสามัญให้เหลือ 49 % ภายในปี 2558 ขึ้นมาหารือเพราะปัจจุบันนักเรียนที่จบ ม.3 ปีละประมาณ 9 แสนคนจะเลือกเรียนต่อสายสามัญในสัดส่วนกว่า 60 % ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศและไม่ตรงความต้องการของตลาดแรงงานในประเทศ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานฝีมือในสาขาต่างๆ จำนวนมาก แต่กลับไม่มีกำลังคนป้อนเข้าไปได้อย่างเพียงพอ เพราะเด็กส่วนใหญ่เลือกเรียนต่อสายสามัญมากกว่าสายอาชีพ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่าหากจะขับเคลื่อนการปรับสัดส่วนผู้เรียนต่อสายอาชีพและสายสามัญให้เป็นไปตามเป้าหมาย ทุกฝ่ายเห็นว่าจะต้องเป็นความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพราะที่ผ่านมาพบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่สนใจแนะแนวการเรียนต่อสายอาชีพให้เด็ก เพราะต้องการดึงเด็กให้เรียนต่อม.ปลาย ดังนั้น ศธ.จึงต้องการให้ สอศ.และ สพฐ.มาทำงานร่วมกัน โดยจะให้สพฐ.เป็นผู้ขับเคลื่อนเรื่องนี้เป็นหลักพร้อมสั่งการให้โรงเรียนแต่ละแห่งต้องกระตือรือร้นที่จะจัดการแนะแนวเรียนต่อสายอาชีพให้แก่นักเรียนของตัวเองอย่างจริงจังด้วย
นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันนักเรียนจบม.3 ปีละ 9 แสนคน เลือกเรียนต่อสายสามัญประมาณ 5 แสนคน สายอาชีพอาชีพ 3 แสนคน และเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่ได้เรียนต่อ 1 แสนคน ซึ่งหากจะปรับสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีพให้เป็น 51% เท่ากับว่าจะต้องมีผู้เลือกเรียนสายอาชีพประมาณ 4.6 แสนคน เพราะฉะนั้นจะต้องหาผู้เรียนมาเพิ่มอีกประมาณ 1.5 แสนคน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่จะดึงดูดมาได้มี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ เด็กที่ไม่เรียนต่อปีละ 1 แสนคนให้เปลี่ยนใจเรียนต่อสายอาชีพจำนวน 5 หมื่นคน อีกกลุ่ม คือ เด็กที่จะเลือกเรียนต่อสายสามัญให้หันมาเรียนสาอาชีพอีกประมาณ 1.2 แสนคน อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวจะไม่ใช้วิธีการบังคับ แต่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของเด็กและผู้ปกครอง โดยพยายามพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยอาชีพพร้อมรณรงค์ต่างๆ เพื่อเปลี่ยนค่านิยมของสังคม โดยเฉพาะการรณรงค์จุดแข็งว่า เรียนอาชีวะแล้วมีงานทำ มีรายได้สูง
“นอกจากหาทางเพิ่มจำนวนผู้เรียนสายอาชีพแล้ว ยังต้องรักษาคุณภาพของการเรียนสายอาชีพด้วย ซึ่งอาจจะต้องมีการทบทวนรายละเอียดนโยบายเรียนจบ ม.6 ภายใน 8 เดือน ของกศน. เนื่องจากปัจจุบัน มีนักเรียน ปวช.ที่เรียนไม่ไหวหรือไม่อยากเรียนได้หนีมาเรียนโครงการนี้ของ กศน.แทน ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการศึกษาอาชีวะอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น กศน.จะต้องไปทบทวนรายละเอียดของโครงการนี้ใหม่ไม่ว่าจะเป็น หลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์เข้าโครงการต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า ต้องเป็นคนมีประสบการณ์ มีสมรรถนะทางอาชีพมาแล้วมาเรียนต่อ ไม่ใช่จบม.3 แล้งก็ดิ่งมาเรียนสั้นๆ กับ กศน.” นายจาตุรนต์ กล่าว
ที่มา: http://www.dailynews.co.th
อันดับการศึกษาต่ำ เงินเดือนครูไทยอย่าต่ำ รมช.ศธ. ย้ำเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ครูทำงาน
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่ World Economic Forum (WEF) จัดอันดับให้การศึกษาไทย ตกลงไปอยู่ในระดับที่ 8 แพ้ ประเทศกัมพูชา และ เวียดนาม ว่า ตนขอรับข้อวิจารณ์ และเสนอข้อเสนอแนะของทุกเสียงเพื่อนำไปแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้การศึกษาของเด็กไทยมีการพัฒนา และเกิดความสมบูรณ์มากที่สุด สำหรับกรณีที่ว่าให้เงินเดือนครูสูง แต่ครูไม่สามารถทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีขึ้นนั้น ตนคิดว่าการเพิ่มเงินเดือนให้ครู ยังเป็นความสำคัญ เนื่องจากเป็นการให้ขวัญกำลังใจของครู เราต้องทำให้ครูมีขวัญกำลังใจที่สุด เพราะหากครูมีขวัญกำลังใจที่ดีก็จะอุทิศเวลา อุทิศตนให้กับการเรียนการสอน หากจะมองถึงปัญหาที่การศึกษาไทยต้องตกต่ำเช่นนี้ น่าจะอยู่ที่ปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันด้วย อาทิ หลักสูตร เครื่องมืออุปกรณ์ในการเรียนการสอน ความพร้อมของเด็ก สถานที่เรียน สภาพแวดล้อม และส่วนหนึ่งก็คือความพร้อมของครู ซึ่งครูเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ
รมช.กระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รัฐมนตรีทุกคนที่มาบริหารด้านการศึกษา ย่อมมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะหัวใจของการศึกษา อยู่ที่คุณภาพหรือมาตรฐานการศึกษา และที่มุ่งพัฒนาแก้ไขอยู่ คือการให้โอกาสทางการศึกษา และการบริหาร จัดการที่เป็นธรรมาภิบาล ซึ่ง 3 เรื่องนี้คือ หัวใจสำคัญที่ต้องแก้ไขควบคู่กันไป
ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)กล่าวว่า โดยส่วนตัว เข้าใจว่ารายงานผลการจัดอันดับของ WEF จะประเมินโดยวิเคราะห์ระบบ การศึกษา ในฐานะของการผลิตกำลังคน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า โดยมองว่าการศึกษาเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น จึงมีการเปรียบเทียบเม็ดเงินที่ใช้ลงทุนและ ผลที่ได้รับกลับมา ซึ่งประเทศไทยมีสัดส่วนการลงทุนด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ที่สูงแต่ได้ผลตอบแทนที่ต่ำ จึงทำให้อันดับของไทยอยู่ต่ำกว่าประเทศที่ลงทุนต่อจีดีพีต่ำกว่า แต่ได้คุณภาพที่สูง
นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เข้าใจว่าWEF จะมอง 3 ส่วนหลัก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ ประเด็นแรกคือมองที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัจจัยสำคัญในการชี้วัดความสำเร็จคือคุณภาพและสมรรถนะของครู ในส่วนของประเทศไทยมีการลงทุนเกี่ยวกับบุคลากรที่สูงโดยเฉพาะเงินเดือนครู แต่ไม่สัมพันธ์กับคุณภาพของการศึกษาที่ได้รับกลับคืน ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) อยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการศธ. ให้ความสำคัญ จึงมี นโยบายที่จะเพิ่มคุณภาพและสมรรถนะของครู รวมทั้งปรับการประเมินครูให้เป็นการประเมินที่สัมพันธ์กับคุณภาพของ ผู้เรียนของเด็ก โดยประเมินจากผลการสอนจริง ส่วนที่ 2 น่าจะดูจากทักษะของนักเรียน โดยให้ความสำคัญกับ ทักษะในศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วย 3 สมรรถนะหลัก คือ สมรรถนะทางด้านการคิด สมรรถนะทางด้านภาษา และสมรรถนะทางด้านไอซีที อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สพฐ. พยายามที่จะเติมคุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 ให้กับ นักเรียนอยู่ ส่วนที่ 3 การประเมินของ WEF น่าจะประเมินจากอัตรากำลังคนทางด้านอาชีวะ ซึ่งเป็นกำลังคนที่สำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ผู้เรียนสายอาชีวะของไทย ยังมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และคุณลักษณะ ของผู้เรียนสายอาชีพก็ยังไม่ถึงระดับอินเตอร์เนชั่นแนล
รมช.กระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รัฐมนตรีทุกคนที่มาบริหารด้านการศึกษา ย่อมมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะหัวใจของการศึกษา อยู่ที่คุณภาพหรือมาตรฐานการศึกษา และที่มุ่งพัฒนาแก้ไขอยู่ คือการให้โอกาสทางการศึกษา และการบริหาร จัดการที่เป็นธรรมาภิบาล ซึ่ง 3 เรื่องนี้คือ หัวใจสำคัญที่ต้องแก้ไขควบคู่กันไป
ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)กล่าวว่า โดยส่วนตัว เข้าใจว่ารายงานผลการจัดอันดับของ WEF จะประเมินโดยวิเคราะห์ระบบ การศึกษา ในฐานะของการผลิตกำลังคน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า โดยมองว่าการศึกษาเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น จึงมีการเปรียบเทียบเม็ดเงินที่ใช้ลงทุนและ ผลที่ได้รับกลับมา ซึ่งประเทศไทยมีสัดส่วนการลงทุนด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ที่สูงแต่ได้ผลตอบแทนที่ต่ำ จึงทำให้อันดับของไทยอยู่ต่ำกว่าประเทศที่ลงทุนต่อจีดีพีต่ำกว่า แต่ได้คุณภาพที่สูง
นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เข้าใจว่าWEF จะมอง 3 ส่วนหลัก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ ประเด็นแรกคือมองที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัจจัยสำคัญในการชี้วัดความสำเร็จคือคุณภาพและสมรรถนะของครู ในส่วนของประเทศไทยมีการลงทุนเกี่ยวกับบุคลากรที่สูงโดยเฉพาะเงินเดือนครู แต่ไม่สัมพันธ์กับคุณภาพของการศึกษาที่ได้รับกลับคืน ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) อยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการศธ. ให้ความสำคัญ จึงมี นโยบายที่จะเพิ่มคุณภาพและสมรรถนะของครู รวมทั้งปรับการประเมินครูให้เป็นการประเมินที่สัมพันธ์กับคุณภาพของ ผู้เรียนของเด็ก โดยประเมินจากผลการสอนจริง ส่วนที่ 2 น่าจะดูจากทักษะของนักเรียน โดยให้ความสำคัญกับ ทักษะในศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วย 3 สมรรถนะหลัก คือ สมรรถนะทางด้านการคิด สมรรถนะทางด้านภาษา และสมรรถนะทางด้านไอซีที อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สพฐ. พยายามที่จะเติมคุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 ให้กับ นักเรียนอยู่ ส่วนที่ 3 การประเมินของ WEF น่าจะประเมินจากอัตรากำลังคนทางด้านอาชีวะ ซึ่งเป็นกำลังคนที่สำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ผู้เรียนสายอาชีวะของไทย ยังมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และคุณลักษณะ ของผู้เรียนสายอาชีพก็ยังไม่ถึงระดับอินเตอร์เนชั่นแนล
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ขตดึงครูร.ร.อื่นคุมสอบ 'อ่านเขียน' กันตุกติก-สพฐ.ถกสพท. 13 - 14 ก.ย.
เมื่อวันที่ 9 กันยายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงนามประกาศ ศธ. เรื่องมาตรการเร่งรัดคุณภาพการอ่านรู้เรื่องและการสื่อสาร เพื่อทำให้สถานศึกษาปลอดการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ โดยจะเริ่มคัดกรองนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ให้แล้วเสร็จในวันที่ 20 กันยายนนี้ ว่า สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา อาจจะต้องประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เพื่อกำชับเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) ทั่วประเทศ ระหว่าง 13-14 กันยายนนี้ อาจจะกำชับเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ภายในวันที่ 20 กันยายนนี้ แต่ละโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศต้องทดสอบนักเรียนให้แล้วเสร็จ และหลังจากนั้นเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องทยอยส่งผลการประมวลมาให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
นายสมยศ ศิริบรรณ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ในโรงเรียนสังกัด สพป.กรุงเทพฯ ว่ามีกี่คน เนื่องจากมีนักเรียนย้ายเข้าย้ายออก โดยในวันที่ 16-17 กันยายน จะทดสอบเพื่อคัดกรองเด็กในเรื่องการอ่าน จากการดูเครื่องมือของ สพฐ.จะมีการอ่านแบบจับเวลาด้วย เช่น มีเนื้อหาให้นักเรียนอ่าน 5 บท ในเวลาไม่เกิน 5 นาที เป็นต้น
"การทดสอบในวันที่ 16-17 กันยายนจะสลับให้ครูต่างโรงเรียนมาทดสอบนักเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสังคม ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเมื่อมีครูโรงเรียนอื่นมาทดสอบ จะทำให้นักเรียนประหม่า จนอาจอ่านไม่คล่องบ้าง ทั้งนี้นอกจากนักเรียนปกติแล้ว ยังมีนักเรียนที่เรียนช้าอยู่บางส่วน" ผอ.สพป.กทม.กล่าว และว่า ส่วนเรื่องการซ่อมเสริมนั้น ปกติทำกันอยู่แล้ว เช่น การให้ครูติวนักเรียนกลุ่มอ่อน แต่จะต้องดูว่าเมื่อผลการทดสอบออกมาแล้ว จะมีนักเรียนที่มีปัญหาเรื่องการอ่านแตกต่างกันหรือไม่ เช่น มีปัญหาสะกดคำ การอ่านคำควบกล้ำ เป็นต้น ซึ่งแต่ละปัญหาอาจจะต้องใช้วิธีการแก้ไขที่ต่างกัน
นายประภัสร สุภาสอน ผอ.สพป.หนองบัวลำภู เขต 1 กล่าวว่า ในวันที่ 9 กันยายน ได้มีการประชุมเตรียมพร้อมในเรื่องการทดสอบ ซึ่งใน สพป.หนองบัวลำภู เขต 1 มีนักเรียนชั้น ป.3 จำนวน 3,285 คน ชั้น ป.6 จำนวน 3,333 คน จาก 214 โรงเรียน โดยกำหนดทดสอบวันที่ 13 กันยายนนี้ ใน 25 สนามสอบ มีกรรมการสอบจากโรงเรียนอื่นมาทดสอบแต่ละสนามสอบ
นายสมยศ ศิริบรรณ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ในโรงเรียนสังกัด สพป.กรุงเทพฯ ว่ามีกี่คน เนื่องจากมีนักเรียนย้ายเข้าย้ายออก โดยในวันที่ 16-17 กันยายน จะทดสอบเพื่อคัดกรองเด็กในเรื่องการอ่าน จากการดูเครื่องมือของ สพฐ.จะมีการอ่านแบบจับเวลาด้วย เช่น มีเนื้อหาให้นักเรียนอ่าน 5 บท ในเวลาไม่เกิน 5 นาที เป็นต้น
"การทดสอบในวันที่ 16-17 กันยายนจะสลับให้ครูต่างโรงเรียนมาทดสอบนักเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสังคม ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเมื่อมีครูโรงเรียนอื่นมาทดสอบ จะทำให้นักเรียนประหม่า จนอาจอ่านไม่คล่องบ้าง ทั้งนี้นอกจากนักเรียนปกติแล้ว ยังมีนักเรียนที่เรียนช้าอยู่บางส่วน" ผอ.สพป.กทม.กล่าว และว่า ส่วนเรื่องการซ่อมเสริมนั้น ปกติทำกันอยู่แล้ว เช่น การให้ครูติวนักเรียนกลุ่มอ่อน แต่จะต้องดูว่าเมื่อผลการทดสอบออกมาแล้ว จะมีนักเรียนที่มีปัญหาเรื่องการอ่านแตกต่างกันหรือไม่ เช่น มีปัญหาสะกดคำ การอ่านคำควบกล้ำ เป็นต้น ซึ่งแต่ละปัญหาอาจจะต้องใช้วิธีการแก้ไขที่ต่างกัน
นายประภัสร สุภาสอน ผอ.สพป.หนองบัวลำภู เขต 1 กล่าวว่า ในวันที่ 9 กันยายน ได้มีการประชุมเตรียมพร้อมในเรื่องการทดสอบ ซึ่งใน สพป.หนองบัวลำภู เขต 1 มีนักเรียนชั้น ป.3 จำนวน 3,285 คน ชั้น ป.6 จำนวน 3,333 คน จาก 214 โรงเรียน โดยกำหนดทดสอบวันที่ 13 กันยายนนี้ ใน 25 สนามสอบ มีกรรมการสอบจากโรงเรียนอื่นมาทดสอบแต่ละสนามสอบ
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น