มติบอร์ดคุรุสภาฟื้นเปิดสอน ป.บัณฑิต ชี้สอนเฉพาะในที่ตั้ง
มติบอร์ดคุรุสภา ฟื้นหลักสูตรป.บัณฑิตอีกครั้งหลังจากสั่งยกเลิกไปแต่ปี 53 คาดเริ่มเปิดสอนได้อย่างช้าปี 57 พร้อมมอบคุรุสภา ไปทำหลักเกณฑ์แบบเข้มข้นและให้สอนเฉพาะในที่ตั้งเท่านั้น เน้นเปิดโอกาสครูจ้างสอน ในร.ร.ที่มีปัจจุบันมีอยู่ราว 6-7 หมื่นคนพร้อมย้ำตั๋วครูไม่ใช่ทางผ่าน
วานนี้ (19 ก.ย.) นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต ใหม่อีกครั้ง ภายหลังที่ได้มีการยกเลิกการจัดการสอนไปเมื่อปี 2553 เนื่องจากเกิดปัญหาว่าสถาบันไปจัดการเรียนการสอนไม่มีคุณภาพและเกิดปัญหาซื้อขาย ป.บัณฑิตขึ้น ขณะเดียวกันการเปิดสอนก็ไปรับคนที่ไม่ได้เป็นครูมาเรียนซึ่งไม่เป็นไปตามที่คุรุสภากำหนด อย่างไรก็ตาม เหตุที่คณะกรรมการฯ มีมติให้สอน ป.บัณฑิต อีกครั้งเพราะขณะนี้มีความจำเป็นและต้องการเปิดโอกาสให้คนที่เป็นครูจ้างสอน ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6-7 หมื่นคน แต่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้พัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้รับใบอนุญาตฯ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาไปวางหลักเกณฑ์และแบบประเมินการติดตามหลักสูตรการเรียนการสอนทางด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ซึ่งจะควบคุมตั้งแต่หลักสูตร จำนวนผู้เรียน รายชื่อผู้เรียน รายชื่อผู้สอน เป็นต้น โดยจะต้องส่งมาให้คุรุสภาอนุญาตก่อน ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจัดทำหลักเกณฑ์ให้เสร็จสิ้นและเริ่มเปิดหลักสูตรป.บัณฑิตได้อีกครั้งอย่างช้าในปีการศึกษา 2557 นี้
“สำหรับป.บัณฑิตที่จะเปิดใหม่นี้ จะเปิดให้เฉพาะคนที่เป็นครูอยู่แล้ว เช่นครูอัตราจ้างในโรงเรียนต่าง ๆ แต่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูเท่านั้นไม่รับคนทั่วไป โดยจะต้องได้รับการรับรองจากสถานศึกษาว่า เป็นได้ทำการสอนจริง ๆ นอกจากนั้นที่ประชุมยังหารือเรื่องการควบคุมคุณภาพการเปิดสอนป.บัณฑิต โดยเห็นว่าที่ผ่านมาวิชาชีพครูค่อนข้างเป็นวิชาชีพที่มีความอะลุ่มอล่วย ทำให้หลายสถาบันจัดการศึกษาไม่มีคุณภาพ ดังนั้นอนาคตถ้าต้องการให้วิชาชีพครูมีคุณภาพจริง ๆ ต้องดูแลเชิงคุณภาพอย่างเข้มข้น ทั้งหลักสูตร จำนวนผู้เรียน คุณภาพผู้เรียน รวมถึงหลักเกณฑ์สำหรับสถาบันที่จะเปิดสอน ป.บัณฑิต ก็จะต้องเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอนจะต้องมีตัวตนจริง ๆ จำนวนผู้สอนกับจำนวนนักศึกษาเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และจะอนุญาตให้เปิดสอนเฉพาะในที่ตั้งเท่านั้น ไม่ให้เปิดสอนนอกสถานที่ตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการจัดการศึกษาไม่มีคุณภาพ” นายไพฑูรย์ กล่าว
ส่วนกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มีแนวคิดการปลดล็อกใบประกอบวิชาชีพครูเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ ความสามารถในสาขาที่ขาดแคลน อาทิ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ สามารถเป็นครูได้นั้น นายไพฑูรย์ กล่าวต่อว่า อาจจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะทุกวันนี้คุรุสภาก็เปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้จบวิชาชีพทางการศึกษาสามารถเข้ามาเป็นครูได้อยู่แล้ว โดยมีหลักการว่าหากโรงเรียนต้องการจ้างคนที่จบสาขาเฉพาะทางที่ไม่ใช่วิชาชีพทางการศึกษามาเป็นครูก็สามารถจ้างได้ แต่ต้องขออนุญาตคุรุสภา ซึ่งก็มีเงื่อนไขว่าจะสามารถสอนได้เป็นเวลา 2 ปี โดยในระหว่างนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการของคุรุสภาซึ่งมีหลายช่องทางเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพทางการศึกษา แต่หากยังไม่ได้ก็สามารถต่ออายุได้อีก 2 ปีเท่ากับว่ามีเวลาถึง 4 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนด 4 ปีแล้วยังไม่ได้ใบประกอบวิชาชีพอีกก็ต้องออกจากวิชาชีพนี้ไป
“ปัจจุบันมีครูที่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพอยู่ถึง 6-7 หมื่นคน แสดงให้เห็นว่าคุรุสภาก็ไม่ได้ปิดกั้นให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นครู เพียงแต่คุรุสภาต้องการคนที่สนใจเข้ามาเป็นครูอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นเรื่องการปลดล็อกใบประกอบวิชาชีพครูไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือคนวิชาชีพอื่นมาอาศัยวิชาชีพครูเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพครูไปสมัครเพื่อเรียนต่อ เช่นคนจบสายวิทยาศาสตร์มา แต่เรียนแค่พอผ่านจะทำงานสายวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้จึงมาเป็นครูเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพไปใช้ประโยชน์อื่น ทั้งที่ จริงแล้วไม่ได้สนใจที่จะเป็นครูทำให้วิชาชีพครูถูกมองว่าเป็นวิชาชีพเผื่อเลือก เป็นอะไรไม่ได้ก็มาเป็นครู”นายไพฑูรย์ กล่าว
วานนี้ (19 ก.ย.) นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต ใหม่อีกครั้ง ภายหลังที่ได้มีการยกเลิกการจัดการสอนไปเมื่อปี 2553 เนื่องจากเกิดปัญหาว่าสถาบันไปจัดการเรียนการสอนไม่มีคุณภาพและเกิดปัญหาซื้อขาย ป.บัณฑิตขึ้น ขณะเดียวกันการเปิดสอนก็ไปรับคนที่ไม่ได้เป็นครูมาเรียนซึ่งไม่เป็นไปตามที่คุรุสภากำหนด อย่างไรก็ตาม เหตุที่คณะกรรมการฯ มีมติให้สอน ป.บัณฑิต อีกครั้งเพราะขณะนี้มีความจำเป็นและต้องการเปิดโอกาสให้คนที่เป็นครูจ้างสอน ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6-7 หมื่นคน แต่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้พัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้รับใบอนุญาตฯ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาไปวางหลักเกณฑ์และแบบประเมินการติดตามหลักสูตรการเรียนการสอนทางด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ซึ่งจะควบคุมตั้งแต่หลักสูตร จำนวนผู้เรียน รายชื่อผู้เรียน รายชื่อผู้สอน เป็นต้น โดยจะต้องส่งมาให้คุรุสภาอนุญาตก่อน ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจัดทำหลักเกณฑ์ให้เสร็จสิ้นและเริ่มเปิดหลักสูตรป.บัณฑิตได้อีกครั้งอย่างช้าในปีการศึกษา 2557 นี้
“สำหรับป.บัณฑิตที่จะเปิดใหม่นี้ จะเปิดให้เฉพาะคนที่เป็นครูอยู่แล้ว เช่นครูอัตราจ้างในโรงเรียนต่าง ๆ แต่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูเท่านั้นไม่รับคนทั่วไป โดยจะต้องได้รับการรับรองจากสถานศึกษาว่า เป็นได้ทำการสอนจริง ๆ นอกจากนั้นที่ประชุมยังหารือเรื่องการควบคุมคุณภาพการเปิดสอนป.บัณฑิต โดยเห็นว่าที่ผ่านมาวิชาชีพครูค่อนข้างเป็นวิชาชีพที่มีความอะลุ่มอล่วย ทำให้หลายสถาบันจัดการศึกษาไม่มีคุณภาพ ดังนั้นอนาคตถ้าต้องการให้วิชาชีพครูมีคุณภาพจริง ๆ ต้องดูแลเชิงคุณภาพอย่างเข้มข้น ทั้งหลักสูตร จำนวนผู้เรียน คุณภาพผู้เรียน รวมถึงหลักเกณฑ์สำหรับสถาบันที่จะเปิดสอน ป.บัณฑิต ก็จะต้องเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอนจะต้องมีตัวตนจริง ๆ จำนวนผู้สอนกับจำนวนนักศึกษาเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และจะอนุญาตให้เปิดสอนเฉพาะในที่ตั้งเท่านั้น ไม่ให้เปิดสอนนอกสถานที่ตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการจัดการศึกษาไม่มีคุณภาพ” นายไพฑูรย์ กล่าว
ส่วนกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มีแนวคิดการปลดล็อกใบประกอบวิชาชีพครูเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ ความสามารถในสาขาที่ขาดแคลน อาทิ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ สามารถเป็นครูได้นั้น นายไพฑูรย์ กล่าวต่อว่า อาจจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะทุกวันนี้คุรุสภาก็เปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้จบวิชาชีพทางการศึกษาสามารถเข้ามาเป็นครูได้อยู่แล้ว โดยมีหลักการว่าหากโรงเรียนต้องการจ้างคนที่จบสาขาเฉพาะทางที่ไม่ใช่วิชาชีพทางการศึกษามาเป็นครูก็สามารถจ้างได้ แต่ต้องขออนุญาตคุรุสภา ซึ่งก็มีเงื่อนไขว่าจะสามารถสอนได้เป็นเวลา 2 ปี โดยในระหว่างนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการของคุรุสภาซึ่งมีหลายช่องทางเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพทางการศึกษา แต่หากยังไม่ได้ก็สามารถต่ออายุได้อีก 2 ปีเท่ากับว่ามีเวลาถึง 4 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนด 4 ปีแล้วยังไม่ได้ใบประกอบวิชาชีพอีกก็ต้องออกจากวิชาชีพนี้ไป
“ปัจจุบันมีครูที่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพอยู่ถึง 6-7 หมื่นคน แสดงให้เห็นว่าคุรุสภาก็ไม่ได้ปิดกั้นให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นครู เพียงแต่คุรุสภาต้องการคนที่สนใจเข้ามาเป็นครูอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นเรื่องการปลดล็อกใบประกอบวิชาชีพครูไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือคนวิชาชีพอื่นมาอาศัยวิชาชีพครูเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพครูไปสมัครเพื่อเรียนต่อ เช่นคนจบสายวิทยาศาสตร์มา แต่เรียนแค่พอผ่านจะทำงานสายวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้จึงมาเป็นครูเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพไปใช้ประโยชน์อื่น ทั้งที่ จริงแล้วไม่ได้สนใจที่จะเป็นครูทำให้วิชาชีพครูถูกมองว่าเป็นวิชาชีพเผื่อเลือก เป็นอะไรไม่ได้ก็มาเป็นครู”นายไพฑูรย์ กล่าว
- เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. 2556-2559)คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ.2556-2559) ตามมติคณะกรรมการสภาการศึกษา ครั้งที่ 3/2556 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ไปดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการ หรือนำแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษาสู่การปฏิบัติต่อไปสาระสำคัญของเรื่องร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. 2556-2559) ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์แล้ว โดยเยาวสตรีในสถานศึกษา หมายถึง สตรีที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ประกอบด้วย 6 กลุ่ม ได้แก่(1) สตรีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลในสถานศึกษา(2) สตรีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาในสถานศึกษา(3) สตรีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในสถานศึกษา(4) สตรีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายประเภทสามัญ ประเภทการอาชีวศึกษาในสถานศึกษาหรือสถาบันการศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หลักสูตรประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นกลาง หลักสูตรประกาศนียบัตรศิลปชั้นกลาง(5) สตรีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอนุปริญญา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตรประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นสูง หลักสูตรประกาศนียบัตรศิลปะชั้นสูง หลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) และระดับปริญญาตรี(6) สตรีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับสูงกว่าปริญญาตรีซึ่งมีแนวคิดพื้นฐานที่จะพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในการศึกษาทุกระดับการศึกษาที่เชื่อมโยงกับบทบาทสตรีตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงอุดมศึกษา และมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรี ทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักภาพเยาวสตรีทั้งการพัฒนาเยาวสตรีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การพัฒนาทักษะความรู้ด้านอาชีพ และศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการสร้างครอบครัวอบอุ่นและภูมิคุ้มกันตนเองจากภัยสังคมเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ โดยมียุทธศาสตร์หลัก 3 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ยุทธศาสตร์ที่ 1 เสริมสร้างภูมิปัญญา ทักษะชีวิต และค่านิยมสร้างสรรค์ ธำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทางวัฒนธรรมของเยาวสตรีไทยยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต มีทักษะอาชีพ พื้นฐาน และศักภาพทางเศรษฐกิจของเยาวสตรียุทธศาสตร์ที่ 3 เสริมสร้างครอบครัวอบอุ่น เยาวสตรีมีภูมิคุ้มกันตนเองต่อภัยคุกคามของปัญหาสังคม
- การพิจารณาแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหาร สมศ.
- แนวทางการจัดการศึกษาทางเลือก
ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ชุดใหม่ เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหาร สมศ. ชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบ 4 ปีตามวาระแล้ว ตามที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) เสนอ ดังนี้
1. นายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานกรรมการ
2. นางเพ็ชรากรณ์ วัชรพล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายเลอศักดิ์ จุลเทศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นางวัลลิยา ปังศรีวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายสมบัติ สุวรรณพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นายอรรถพล ใหญ่สว่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2556 เป็นต้นไป
รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาเรื่อง "การศึกษาทางเลือก" ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 49 วรรค 3 ที่กำหนดให้ "การจัดศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือองค์กรเอกชน การศึกษาทางเลือกของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับความคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากรัฐ" รวมทั้ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2545 หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา มาตรา 12 กำหนดให้ "นอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง"
อ ย่างไรก็ตาม การจัดการศึกษาทางเลือกมีรูปแบบหลากหลาย ซึ่งนโยบายในการส่งเสริมจึงต้องมีความแตกต่างกันในแต่ละรูปแบบ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจะเชิญองค์กรที่จัดการศึกษาทางเลือกดังกล่าว มาหารือเพื่อจัดการศึกษาร่วมกันต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใย กรณีที่การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก ได้รายงานขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้านคุณภาพการศึกษาไทยอยู่ในอันดับ 8 ของกลุ่มประเทศอาเซียน โดยกำชับให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่ง ศธ.ได้เชิญเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ เข้าร่วมประชุมในวันที่ 22 กันยายนนี้ด้วย เพื่อวางแผนปฏิรูปการศึกษาร่วมกันต่อไป
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น