วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อะไรทำให้คุณภาพ การศึกษาไทยเกิด ’หักเห’

วรากรณ์  สามโกเศศ
          มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
          ความเห็นเรื่องปฏิรูปการศึกษา มีมากมายในปัจจุบันจนอาจเรียก ได้ว่า เฝือ ถ้าเราเข้าใจเหตุแห่งความเป็นมาของการหักเหของคุณภาพการศึกษาไทยแล้ว อาจทำให้เห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น
          หลายคนสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้การศึกษาของเราซึ่งแต่ดั้งเดิมก็มีคุณภาพพอควร หักเหลดต่ำลงได้ขนาดนี้ คำตอบก็คือ
          (1) ระบบการศึกษาของเราแต่ก่อน เป็นระบบที่เรียกว่า "exclusive"คือเป็น การศึกษาเฉพาะคนชั้นสูง คนมีเงิน  คนมีอำนาจ ฯลฯ แต่มาในยุคหลังการวางแผนเศรษฐกิจเมื่อประมาณ พ.ศ. 2505 ลักษณะของการศึกษาไทยก็เริ่มเปลี่ยนไป เรามีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประชาชนธรรมดามีความต้องการการศึกษาเพิ่มมากขึ้น เมื่อกระแสของโลกตะวันตกในเรื่องความเท่าเทียมกันของโอกาสในการศึกษาพัดแรงขึ้น เราจึงเปลี่ยนมาเป็นระบบที่เรียกว่า "inclusive" กล่าวคือทุกคน มีโอกาสเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับระดับอุดมศึกษาของภาครัฐที่ เบ่งบานอย่างยิ่งตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา
          2) เสรีภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุควางแผนเศรษฐกิจเป็นต้นมา สร้างพลังผลักดันทางสังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่ยิ่งใหญ่มาก จำนวนนักเรียนมีมากขึ้นจนการบริหารจัดการทำได้ยากมากขึ้นเป็นลำดับ
          ถ้าจำกันได้ เมื่อสมัยก่อนนักเรียนชั้นมัธยมปลายจะสอบข้อสอบเดียวกันพร้อมกันทั้งประเทศ แต่พอถึงราว พ.ศ. 2508-2509 แต่ละโรงเรียนออกข้อสอบและจัดสอบกันเองเนื่องจากภาระการบริหารงานสูงขึ้นมากจน ไม่อาจทำได้อย่างเดิม
          (3) กระแสโลกที่มีทางโน้มเพิ่มจำนวนปี ของการศึกษาภาคบังคับทำให้ตลอดเวลา 30 ปี ที่ผ่านมาเราปรับการศึกษาภาคบังคับจาก 4 เป็น 6 และ 9 ปีในที่สุด การเพิ่มจำนวนปีการศึกษาพร้อมกับเด็กที่เกิดปีละกว่า 1 ล้านคน  เป็นเวลาต่อเนื่องกันนับสิบปีนับตั้งแต่การวางแผนเศรษฐกิจ  ทำให้ต้องมีการรับครู เข้าบรรจุเป็นจำนวนมากมายนับหมื่นนับแสนคนในเวลาอันรวดเร็วเมื่อ 20-30 ปีก่อน (จำการเรียนครูภาคทไวไลท์กันได้ไหม ที่แห่เรียน ตอนเย็น และเสาร์-อาทิตย์ มืดฟ้ามัวดิน เพื่อจะได้เป็นข้าราชการครู)
          เมื่อมีความจำเป็นต้องผลิตและรับครูจำนวนมากมายในเวลาอันสั้นเพื่อรับมือกับความต้องการ คุณภาพของการผลิตและการคัดเลือก ที่ไม่เข้มข้นทำให้มีครูจำนวนมากที่คุณภาพไม่สูง  และไม่ได้ต้องการเป็นครูอย่างแท้จริง (ต้องการเพียงเป็นข้าราชการ) หลุดเข้ามาเป็นจำนวน ไม่น้อย แต่ครูที่รักความเป็นครู มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริงก็มีคละปะปน อยู่ด้วยอย่างไม่แน่ใจว่าส่วนใดมากกว่ากัน
          การรับครูจำนวนมากเช่นนี้ในอดีตเมื่อ 20-30 ปีก่อนจึงมีผลทำให้ครูเกือบครึ่งหนึ่งในปัจจุบันอยู่ในช่วงอายุ 50-60 ปี และเป็นที่ทราบกันดีว่าคนในวัยนี้มีพลังกายและพลังใจลดน้อยถอยลงเป็นอันมาก ยิ่งครูที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นครูและอยู่ในวัยนี้ด้วยแล้ว เราพอจะมองเห็นได้ว่าคุณภาพครูเหล่านี้เป็นอย่างไร
          (4) ในภาพรวมครูมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 400,000 คน เป็นจำนวนที่มากอย่างสอดคล้องกับจำนวนนักเรียนปัจจุบันที่เกิดเพียงประมาณ ปีละ 800,000-850,000 คน แต่ครูกลับขาดแคลนในโรงเรียนนับหมื่นโรงเรียนในจำนวนกว่า 32,000 โรงเรียนทั่วประเทศ เป็นเวลายาวนานที่โรงเรียนจำนวนมากโดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีเด็กต่ำกว่า 150 คนในชนบทขาดแคลนครู ทั้งๆ ที่จำนวนครูรวมทั้งประเทศมีเพียงพอ สาเหตุมาจากครูส่วนใหญ่ต้องการสอน ในโรงเรียนใหญ่ดังๆ ในกรุงเทพฯ หรือใน ตัวเมืองของจังหวัด เนื่องจากสามารถสอนพิเศษ หารายได้ตอนเย็น ได้อยู่ใกล้ "ผู้ใหญ่" และ "กำนัน" เรียนต่อก็สะดวก โอกาสก้าวหน้า มีมากกว่าเป็นอันมาก ฯลฯ
          กระทรวงศึกษาธิการไม่สามารถโอนย้ายครู จากโรงเรียนเหล่านี้ที่มีครูเป็นสัดส่วนกับนักเรียนต่ำไปยังโรงเรียนที่ขาดแคลนครูในพื้นที่ ไกลออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นเพราะ ประเพณีหรืออะไรก็ไม่ทราบที่ยึดกันมาว่าถ้าครู ไม่ยินยอมให้ย้ายโรงเรียนแล้วไม่อาจย้ายครูได้  (กลัวครู ช้ำใจจนสอนไม่ได้? ครูเส้นใหญ่จนบังคับไม่ได้?)
          การขาดแคลนครูในโรงเรียนนอกเมืองซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศศึกษาอยู่ จึงเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน หลายโรงเรียนขาดแคลนครู แถมครูยังมีคุณภาพไม่ดีอีก
          ขาดจิตวิญญาณของการเป็นครู ได้รับเงินอุดหนุน โรงเรียนต่ำเพราะมีนักเรียนน้อย (เขาให้เงินอุดหนุนต่อหัวต่างกันไม่มากระหว่างเด็กในเมืองกับนอกเมือง) แต่โรงเรียนใหญ่ในเมืองรับเงินอุดหนุนมหาศาลเพราะมีนักเรียนมาก ดังนั้น สิ่งที่
          เกิดขึ้นคือเด็กซึ่งอยู่ห่างไกลซึ่งเป็นจำนวนส่วนใหญ่ของประเทศถูกลงโทษสามเด้ง (เกิดมาจน  ขาดแคลนครู โรงเรียนได้รับเงินอุดหนุนต่ำ)
          (5) การเมืองเข้าแทรกแซงในการโอนย้ายครู บวกคอร์รัปชันในบางกลุ่มของผู้บริหารโรงเรียน ไม่ว่าจัดซื้อ จัดจ้าง โอนย้ายครู เลือกซื้อ แบบเรียน เงินบริจาค ฯลฯ สถานการณ์ที่เลวร้าย
          อยู่แล้วก็เลยรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อมองไปรอบบ้านเด็ก  สังคมก็ให้ตัวอย่างที่เลวแก่เด็ก พ่อแม่ส่วนใหญ่ ก็มุ่งแต่หาเงินเลี้ยงชีพ ตัวอย่างดี ๆ ที่เด็กเห็น มีน้อย เด็กเห็นว่าความไม่จริงใจ การโกหก หลอกลวง เป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน
          (6) แต่ละรัฐบาลมีความฝันเฟื่องในเรื่องการศึกษาที่ไม่ปะติดปะต่อกัน บางพรรค บางรัฐบาลทำให้การศึกษาเดินหน้าไป 5 ก้าว แต่ต่อมาอีกไม่กี่เดือนก็มีรัฐมนตรีใหม่ที่ทำให้ถอยไป 3 ก้าวมาแทน เปลี่ยนกันรวดเร็วราวกับเดินทางมาบนสายพานของโรงงานอุตสาหกรรม และก็เป็นอย่างนี้สลับไปมายาวนานอย่างไม่มีทิศทางที่แน่ชัดและไม่มีโครงการที่ต่อเนื่อง
          (7) เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลักสูตรใจกว้างให้ครูมีวิจารณญาณในการเลือกสอนเนื้อหาได้
          กว้างขวาง ดังนั้น เด็กจึงเรียนพื้นฐานไม่เหมือนกัน ประวัติศาสตร์บางตอนครูบางคนก็ข้ามไปเพราะเห็นว่าไม่น่าสนใจ
          (8) โรงเรียนไม่มีอัตราจ้างเจ้าหน้าที่ ธุรการใหม่มานาน ดังนั้น ครูบางส่วนจึงทำหน้าที่ธุรการปนเปไปกับการสอนเด็ก เมื่อถึง ยุคสมัยฮิตของการตรวจประเมินโรงเรียน มีตัว ชี้วัดมากมายดังเช่นปัจจุบัน ครูจำนวนมาก ก็หมกมุ่นอยู่กับงานเหล่านี้ เพราะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงโรงเรียน แต่ไม่กระทบต่อผู้บริหารโรงเรียนและผู้บริหารส่วนกลาง
          ไม่ว่านักเรียนจะมีสัมฤทธิผลการศึกษาเป็นอย่างไร อ่านหนังสือไม่ออกกี่คน คุณภาพเป็นอย่างไร ผู้บริหารโรงเรียนและผู้บริหาร ส่วนกลางก็ได้รับเงินเดือนขึ้นเสมอ (แถมมีโบนัส อีกด้วย) ตำแหน่งก้าวหน้าอย่างไม่มีการเชื่อมโยงกับคุณภาพการศึกษาที่เด็กได้รับอย่างแท้จริง พูดง่าย ๆ ก็คือ ระบบเป็นไปในทางที่ทำให้ ผู้บริหาร "ไม่ต้องมีความรับผิดรับชอบ"  ต่อผลที่เกิดขึ้น
          (9) ในต่างจังหวัดครูต้องไปร่วมงานของจังหวัดเสมอในเทศกาลต่าง ๆ ไม่ว่าส่งเสริมเรื่องใดก็ตาม อีกทั้งต้องเกณฑ์นักเรียนไปร่วมงานราชการ มีการพูดกันว่าครูในปัจจุบันนั้น "ทำทุกอย่างยกเว้นสอนหนังสือ"
          ครูรุ่นหนุ่มรุ่นสาวที่บังเอิญหลุดพลัดเข้าไปในโรงเรียนต่างจังหวัดต้องรับเหมางานเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเป็นประเพณีว่า เมื่อเป็นผู้บริหารแล้วไม่สอนหนังสือ ยกเว้น ผู้บริหารที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูและรักและปรารถนาดีต่อเด็กอย่างแท้จริง
          การที่ต้องมีการปฏิรูปใดๆ ก็เพราะ สถานะเดิมนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจของสังคม อย่างไรก็ดี ในสถานะที่มันเป็นอยู่นั้นมีผู้ "พอใจ"อยากให้มันดำรงอยู่ต่อไปเพราะได้รับ ผลประโยชน์ ดังนั้น การปฏิรูปจึงสร้างความ เจ็บปวดให้คนที่ "พอใจ" อยู่แล้วอย่างแน่นอน และถ้าไม่มีการออกแรง "ทุบโต๊ะ" แล้ว ยากนักหนาที่จะเปลี่ยนแปลง หรือ "ปฏิรูป" อะไรได้ เพราะคน "ที่พอใจ" อยู่แล้วมีพลังในตัวอันเข้มแข็ง และมีออร่าเจิดจรัสโดยธรรมชาติ--จบ--
          
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ไม่มีความคิดเห็น: