วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผลวิจัยสรุปครูไทยใช้เวลากับการประเมินของหน่วยงานภายนอกมากที่สุด

 สายสะพาย
          สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สะท้อนความเป็นจริงถึงสภาพชีวิตการทำงานของครูไทยออกมาอย่างหมดเปลือก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
          ครับ.. เป็นผลงานวิจัยโดย ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐศาสตร์การศึกษา  จัดแถลงโดยตั้งหัวข้อโดนใจว่า "คลี่ตารางชีวิตครูไทยใน 1 ปี  เสียงสะท้อนจากครูที่นักปฏิรูปต้องฟัง"
          โดยสำรวจกิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของครูผู้ได้รับรางวัลครูสอนดีจาก สสค. ซึ่งมีอายุเฉลี่ยและวิทยฐานะสูงกว่าครูทั่วไป กระจายตัวครอบคลุมโรงเรียนทุกสังกัดทั่วประเทศ จำนวน 427 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 15 ก.ย.-15 ต.ค.2557 พบว่า ใน 1 ปี มีจำนวนวันเปิดเรียนทั้งหมด 200 วัน ครูต้องใช้เวลากับกิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่ไม่ใช่การจัดการเรียนการสอนเฉพาะวันธรรมดาถึง 84 วัน หรือคิดเป็น 42%
          ดร.ไกรยสบอกว่า กิจกรรมนอกชั้นเรียนที่ไม่ใช่การสอนที่ครูต้องใช้เวลามากที่สุด 3 อันดับแรกคือ
               อันดับ 1 การประเมินของหน่วยงานภายนอกเฉลี่ย 43 วัน ทั้งการประเมินโรงเรียน ประเมินครู และประเมินนักเรียน โดยครูใช้เวลาไปกับการประเมินของหน่วยงานต้นสังกัดในโครงการต่างๆ 18 วัน การประเมินของสถาบันทดสอบ 16 วัน และการประเมินของ สมศ. 9 วัน
              อันดับ 2 การแข่งขันทางวิชาการ 29 วัน และ
              อันดับ 3 การอบรมจากหน่วยงานภายนอก 10 วัน
          ครูส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า กิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่ส่งผลดีต่อการเรียนการสอน ได้แก่ การแข่งขันทางวิชาการ การประเมิน O-NET การอบรม และการประเมินการอ่าน
          ส่วนกิจกรรมที่ครูส่วนใหญ่เห็นว่าส่งผลเสียต่อการเรียนการสอนคือ การประเมินโรงเรียนโดย สมศ.   การอบรม และการประเมินอื่นๆ ซึ่งหน่วยงานประเมินที่ครูส่วนใหญ่อยากให้มีการปรับปรุงมากที่สุดคือ สมศ. 98% รองลงมาคือเขตพื้นที่และ สพฐ. 1.7% โดยเสนอให้ปรับปรุงวิธีการประเมินที่เน้นผลลัพธ์ของเด็กมากกว่าเอกสารและลดภาระการประเมินลง
          "เสียงสะท้อนของครูส่วนใหญ่ต้องการคืนครูสู่ห้องเรียนและลดภาระงานของครูที่ไม่มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก โดยลดภาระการประเมินด้านเอกสารลง และควรจัดอบรมในเนื้อหาที่ครูต้องการในช่วงปิดภาคเรียนเท่านั้น"
          ที่น่าสนใจคือ ครูมากกว่า 90% เห็นว่าหากโรงเรียนมีอิสระในการ บริหารจัดการด้านวิชาการ การบริหารงบประมาณและการบริหารบุคคลจะมีส่วนสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอนของครู โดยเงื่อนไขสำคัญของ การกระจายอำนาจการบริหารการจัดการเรียนการสอนให้ประสบผล สำเร็จคือ การมีส่วนร่วมของครู คุณภาพของผู้บริหาร การมีส่วนร่วมของ ผู้ปกครอง ชุมชนและนักเรียน
          ครูที่ได้รับการคัดเลือกว่าเป็นครูสอนดียังมีกิจกรรมนอกชั้นเรียน มากมายขนาดนี้ แล้วครูที่ยังไม่ได้รับรางวัล ครูที่สอนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง และ ครูสอนไม่ดีเอาเลยล่ะ จะขนาดไหน
          นี่แหละครับ ปฏิรูปการศึกษาถึงต้องเริ่มและเน้นที่ปฏิรูปครูเป็นหลัก เริ่มจากการเอาภาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนออกจากบ่า ของครู อย่างอื่นค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ไปก็ได้ เพราะที่ผ่านมามัวมุ่งไปทำ เรื่องอื่น ครูไทย เด็กไทยจึงตกต่ำย่ำแย่กว่าประเทศไหนๆ
          จากผลสำรวจที่พบ ฟังทรรศนะของนักคิด นักวิชาการ และครูเองว่าอย่างไร เอาไว้พรุ่งนี้
--จบ--
          --มติชน ฉบับวันที่ 18 ธ.ค. 2557 (กรอบบ่าย)--

          สายสะพาย
          ครับ เป็นมุมมองต่อผลสำรวจภาระงานนอกเหนือหน้าที่หลักของครูต่อจากเมื่อวาน
          รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ครูในประเทศของเรายังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในระดับที่ดี คือใช้เวลากับการสอนในชั้นเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 4 ชั่วโมง/วัน แต่ครูกำลังถูกกดดันและเริ่มไม่มีความสุขเพราะภาระงานนอกห้องเรียนที่ดึงเวลาครูออกไปถึง 42% ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องให้ความสนใจว่าเหตุใดคุณภาพการศึกษาถึงไม่ดีขึ้น
          จากงานวิจัยขององค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ปี 2555 ได้ศึกษาเวลาของครูที่ใช้ในห้องเรียนของ 5 ประเทศได้แก่ เอธิโอเปีย สาธารณรัฐกัวเตมาลา ฮอนดูรัส โมซัมบิก และเนปาล พบว่า เมื่อครูถูกดึงออกนอกห้องเรียนที่ไม่เกี่ยวกับการสอนไป 20-30% จะมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กอย่างมาก โดยมีผลกระทบต่อโอกาสการเรียนรู้ของเด็ก สมาธิของเด็กต่อเนื้อหาและผลคะแนนของเด็กลดลงอย่างเห็นได้ชัด
          "กิจกรรมการประเมินภายนอกทั้งครู โรงเรียน และนักเรียนกว่า 20 โครงการ ที่ครูต้องใช้เวลาถึง 43 วันต่อปี และยังมีเสียงสะท้อนจากครูว่ามีการเรียกรับสินบนจากการประเมิน นอกจากนี้ยังมีภาระการทำเอกสาร การอบรม และงานสัมมนา ทำให้งานสอนมีแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น รัฐบาล  กระทรวงศึกษาฯ และเขตพื้นที่จึงไม่ควรสร้างภาระงานที่กระทบต่อการสอน ต้องทบทวนว่ากิจกรรมเหล่านี้เกิดประโยชน์ไปถึงตัวเด็กหรือไม่ ผลการประเมินเหล่านี้ถูกนำกลับไปใช้พัฒนาการสอนของครูให้ดีขึ้นหรือไม่"
          ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บอกว่า ปัญหาการศึกษาไทยในยุค คสช.จะสำเร็จได้ต้องมุ่งแก้ไขใน 3 ประเด็น 1.ปรับกฎหมายคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เพื่อไม่ให้ครูยึดติดกับการทำผลงานเพิ่มวิทยฐานะ 2.ปรับการประเมินผลของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) โดยต้องปรับบทบาทและทบทวนตัวเองใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) มาตรฐานตัวชี้วัดที่ไม่สะท้อนคุณภาพจริง 2) มาตรฐานผู้ประเมินที่ยังลักลั่น และ 3) ภาระงานเอกสารก่อนมีการประเมินรอบ 4 และ 3.ปรับวิธีการสอบของสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ให้เน้นที่กระตุ้นพัฒนาการของเด็ก มิใช่การสอบระดับชาติที่ใช้ข้อสอบเพียงชุดเดียววัดผลเด็ก
          "เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ต้องการกระจายอำนาจไปสู่พื้นที่ให้มาก และที่สำคัญจะต้องมีการสร้างกลไกระดับชาติเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ปี ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายรองรับกระบวนการปฏิรูประบบการศึกษาครั้งใหม่ มีโจทย์ร่วมของทุกกระทรวง เป็นเรื่องการพัฒนาคนที่ต้องทำร่วมกัน"
          นายอาคม สมพามา ตัวแทนครูสอนดี โรงเรียนสายธรรมจันทร์ จ.ราชบุรี บอกว่า "รางวัลของเด็กคือการได้มีครูอยู่ในห้องเรียน ผมจึงขอคืนเวลา 84 ชม. ให้กับเด็กนักเรียน และเห็นว่าควรมีการรื้อการประเมินรูปแบบวิทยฐานะใหม่ที่มุ่งสู่การพัฒนาเด็กมากกว่าการผลประโยชน์ที่ครูได้รับ ดีใจที่ สปช.จะเร่งแก้กฎหมายให้ปรับระบบการประเมินวิทยฐานะ เพื่อให้ครูได้มีโอกาสอยู่ในห้องเรียนเพิ่มขึ้น"
          กระทรวงศึกษาธิการขยับเขยื้อนเรื่องนี้อย่างไร สัปดาห์หน้าว่ากันต่อ
--จบ--
          --มติชน ฉบับวันที่ 19 ธ.ค. 2557 (กรอบบ่าย)--

ไม่มีความคิดเห็น: