วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การปรับปรุงหลักสูตรประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง

ศึกษาธิการ - ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลัก ครั้งที่ 17/2557 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ในประเด็นการปรับปรุงหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการขับเคลื่อนการทำงานตามนโยบายการบริหารราชการของ คสช. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา


  • การปรับปรุงหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมืองในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จากการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีแนวคิดที่จะปรับปรุงหลักสูตรในด้านการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ และวิชาหน้าที่พลเมือง ซึ่งปัจจุบันยังคงมีอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพียงแต่ถูกบรรจุอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงอาจทำให้เนื้อหาและเวลาในการเรียนมีน้อยกว่าที่ผ่านมา ทำให้เด็กอาจได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รวมถึงตระหนักในและเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่พลเมืองไม่ดีมากนัก ดังนั้นอาจจะต้องแยกออกจากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ ด้วย โดยขณะนี้ได้แต่งตั้งให้นายวินัย รอดจ่าย ประธานกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา สพฐ. เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เพื่อวางแผนพัฒนาการสอนและศึกษาแนวทางความเป็นไปได้การแยกสองวิชานี้ออกมาจากหมวดสังคมศึกษาให้ชัดเจนขึ้น แต่ในส่วนการสอนวิชาศีลธรรม ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่รวมอยู่ในวิชาพระพุทธศาสนาซึ่งเด็กทุกคนต้องเรียน

ที่ประชุมองค์กรหลัก จึงได้หารือถึงแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการเพิ่มเนื้อหาในส่วนของวิชาประวัติศาสตร์ การส่งเสริมความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ วิชาหน้าที่พลเมือง และวิชาศีลธรรม โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นเจ้าภาพหลัก เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน และประชุมร่วมกันในวันที่ 13 มิถุนายน 2557  เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตตำราเรียนของโรงเรียนเอกชน หรือสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) ซึ่งจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบ ทั้งนี้ สพฐ.อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ วรรณคดี และศาสนาให้มากขึ้นด้วย ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายบริหารราชการของ คสช.ที่จะทำอย่างไรให้คนไทยมีความรักสามัคคี รู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเอง รวมถึงเคารพสิทธิหน้าที่ของผู้อื่นด้วย
  • การขับเคลื่อนการทำงานตามนโยบายการบริหารราชการของ คสช. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
จากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประกาศเจตนารมณ์และนโยบายในการบริหารราชการ ซึ่งในส่วนของการศึกษานั้นได้กำหนดไว้ 3 ข้อ คือ ข้อ 2.7 ด้านการศึกษา ข้อ 2.10 การวิจัยและพัฒนา และข้อ 2.11 การเตรียมการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี 2558

นโยบายการบริหารราชการของ คสช. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
ข้อ 2.7 ด้านการศึกษา
การศึกษาเป็นพื้นฐานในการนำพาประเทศไทยก้าวหน้าอย่างยั่งยืน จึงจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมและยกระดับการศึกษาในทุกช่วงวัย ให้ทุกส่วนบูรณาการการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่แยกงานด้านการศึกษาจนทำให้ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
การพัฒนาครู/บุคลากรทางการศึกษา เทคโนโลยีในการศึกษาสู่ความทันสมัย โดยมีเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา เป็นศูนย์กลาง การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในระบบการศึกษา ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า การกระทำนั้นๆ เด็กหรือผู้เข้ารับการศึกษาในทุกระดับ จะได้รับประโยชน์อะไร
- สร้างสรรค์วิธีการ ทำให้เยาวชนไทยมีจิตสำนึกความรักชาติ ผลประโยชน์ของชาติ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เรียนรู้ภูมิใจในประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของบรรพบุรุษไทยและประเทศไทยในอดีต มีความสำนึกในการตอบแทนคุณของแผ่นดิน ไม่ใช่ก้าวไปข้างหน้าแล้วทิ้งสิ่งดีๆ ที่ผ่านมาไปอย่างสิ้นเชิง
- ให้ฝ่ายความมั่นคงมีโอกาสให้ความร่วมมือในทุกสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างความมีระเบียบวินัย เข้มแข็ง แข็งแรง ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอื่นๆ เพื่อเป็นพลังอำนาจของชาติในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ข้อ 2.10 การวิจัยและพัฒนา
- จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และเน้นการปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยพัฒนาต่อยอดจากสิ่งที่ต้องซื้อจากต่างประเทศเป็นหลัก เพื่อให้เกิดงานในประเทศ มีสินค้าส่งออก โดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่า รายได้ต่อเกษตรกร เช่น ปาล์ม ยาง พืชพลังงาน ฯลฯ นอกเหนือจากการปลูกข้าว หรือผลิตผลพืชหลักอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าลดลง มีการแข่งขันสูง
- ส่งเสริมให้มีการร่วมลงทุนจากต่างประเทศทั้งในการวิจัยและพัฒนา การผลิตภายในประเทศเป็นหลัก ในลักษณะการร่วมลงทุนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิจัยพัฒนาสู่กระบวนการผลิตและจำหน่าย เป็นสินค้าส่งออกของประเทศไทย ให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ในสินค้าทุกประเภทที่มีความจำเป็น ทั้งในด้านการดำรงชีวิต รวมทั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเทคโนโลยีระดับสูง
ข้อ 2.11 การเตรียมการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี 2558
ให้มีการบูรณาการการเตรียมการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ทั้ง 3 เสาหลัก อันได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและวัฒนธรรม ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการประสานงานการดำเนินการให้สอดคล้องกัน มุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และความร่วมมือตามกรอบข้อตกลงต่างๆ ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว
-ให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกและเครื่องมือที่ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามข้ามชาติ เช่น การก่อการร้าย ปัญหายาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น
- การเจรจาในข้อตกลงทางการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ หากเงื่อนไขของข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการหรือสภาพเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ จะต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จะต้องมีการหารือและเห็นพ้องต้องกัน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม
- สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมอัตลักษณ์ของรัฐสมาชิก ให้ความสำคัญกับการรักษาพื้นที่ป่า โดยเฉพาะตามแนวชายแดนของประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย
ปลัด ศธ.กล่าวว่า เจตนารมณ์/นโยบายข้างต้น เพื่อต้องการให้การจัดการศึกษามีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาทุกภาคส่วน การดำเนินกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ที่เน้นผู้เรียนและเข้าถึงประชาชนเป็นหลัก ตลอดจนส่งเสริมให้เยาวชนมีความรักชาติ เห็นความสำคัญของเอกลักษณ์ไทย และประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อเป็นพลังของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา และการเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลักด้วย

ปลัด ศธ. กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการขับเคลื่อนการทำงานของ ศธ. เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารราชการด้วยว่า ขณะนี้ ศธ. ได้รับเรื่องคืนมาจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จำนวน 21 เรื่อง เช่น การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ก.ค.ศ.  การแต่งตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยหรืออธิการบดี ฯลฯ  ซึ่งที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานนำเรื่องต่างๆ กลับไปทบทวน และเร่งเสนอกลับมาตามขั้นตอนโดยเร็วต่อไป

ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 141/2557

คุรุสภาหมดสิทธิคัดผู้แทนเขต
          หลังจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดรับสมัครคัดเลือก ผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม- 2 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อทดแทนตำแหน่งว่าง 50 ตำแหน่ง แยกเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) 36 ตำแหน่ง และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) จำนวน 14 ตำแหน่งนั้น
          บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมี ผู้สมัครในกลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์จำนวน 1,109 ราย ประกอบด้วย ผู้สมัครกลุ่มปกติ แบ่งเป็น ผู้อำนวยการ สพป. 838 ราย ผู้อำนวยการ สพม. 234 ราย ส่วนผู้สมัครกลุ่มเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ แบ่งเป็น ผู้อำนวยการ สพป. 33 ราย และผู้อำนวยการ สพม. 4 ราย
          กลุ่มทั่วไป จะสอบวันที่ 21 มิถุนายน ที่โรงเรียนหอวัง กรุงเทพฯ  ภาคเช้าสอบภาค ก (ความรู้ความสามารถด้านการบริหารงานในหน้าที่) และภาคบ่ายสอบภาค ข (ความรู้ความสามารถด้านการวิเคราะห์กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนำไปใช้) ผู้ที่สอบผ่านภาค ก และ ภาค ข ที่ได้คะแนนในแต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จะมีสิทธิสอบภาค ค (ประเมินสมรรถนะทางการบริหาร) วันที่ 6-7 กรกฎาคม ส่วน กลุ่มประสบการณ์ จะสอบภาค ก วันที่ 21 มิถุนายน ที่โรงเรียนหอวัง กรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน แต่จะประเมินภาค ข วันที่ 2-7 กรกฎาคม ประกาศผลทั้งสองกลุ่ม ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม ที่สำนักงาน ก.ค.ศ. และทางเว็บไซต์สำนักงาน ก.ค.ศ. 
www.otepc.go.th
          อีกข่าวที่น่าสนใจ คือมติที่ประชุม ก.ค.ศ. ที่มีนางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นประธานการประชุม เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการนำรายชื่อ ผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีอื่นเพื่อนำไปในการบรรจุแต่งตั้งครูผู้ช่วย หรือการใช้บัญชีข้ามเขต โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ 5 แนวทาง ดังนี้ 1.การนำบัญชีไปใช้ข้ามเขต ต้องได้รับการตกลงยินยอมระหว่างคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาผู้ขอใช้บัญชีกับ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาเจ้าของบัญชี 2.การขอรายชื่อต้องระบุคุณวุฒิกลุ่มวิชา หรือสาขาวิชาเอกที่ตรงตามความต้องการของสถานศึกษาที่มีตำแหน่งว่างและมีอัตราเงินเดือนตามกรอบอัตรากำลัง ณ วันที่ 10 มิถุนายน และต้องได้รับความเห็นชอบจาก อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
          3.ให้ขอบัญชีรายชื่อจาก อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาใกล้เคียงในจังหวัดเดียวกันก่อน โดยพิจารณาจากระยะทางที่ตั้ง สพท. หากเขตพื้นที่ฯเดียวกันมีหลายจังหวัด ให้ขอในจังหวัดใกล้เคียงกันก่อนและให้พิจารณาจากระยะทางที่ตั้งของ สพท.เช่นเดียวกัน หากไม่มีให้ขอจากเขตพื้นที่ฯ ในภูมิภาคเดียวกันก่อนหากไม่มีในภูมิภาคเดียวกัน จึงให้ขอจากภูมิภาคอื่น 4.ให้ดำเนินการขอรายชื่อผู้สอบแข่งขันได้ บรรจุและแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้ที่ได้ขึ้นบัญชีใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการนี้ และ 5.ผู้สอบแข่งขันที่ตกลงไป จะบรรจุในเขตพื้นที่การศึกษาอื่นจนได้รับการประกาศขึ้นบัญชีของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาที่ขอรายชื่อไปแล้ว แต่ภายหลังไม่ประสงค์หรือขอระงับการบรรจุและแต่งตั้ง จะให้ถือว่าผู้นั้นขอสละสิทธิการบรรจุและแต่งตั้งทั้งบัญชีเดิมและบัญชีใหม่ อย่างไรก็ตาม การขอใช้บัญชีของเขตพื้นที่การศึกษาจะไม่สามารถระบุชื่อ ผู้ที่ขึ้นบัญชีไว้ได้ แต่ให้ขอใช้บัญชีเรียงตามลำดับบัญชีที่ยังไม่ได้ถูกเรียกบรรจุในแต่ละ สาขาวิชา
          นอกจากนี้ที่ประชุม ก.ค.ศ.ยังมีมติให้การสรรหาผู้แทนใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 169 เขตที่ครบวาระ ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และ วิธีการเดิมจนกว่าจะมี ก.ค.ศ.ชุดใหม่ ซึ่งรวมถึงการคัดผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่ฯ ที่จะต้องใช้เกณฑ์เดิมไปก่อนด้วย

มติชน ฉบับวันที่ 11 มิ.ย. 2557

ไม่มีความคิดเห็น: