วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ธนาคารโลกชี้ไทยต้องปรับปรุงคุณภาพศึกษา

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และธนาคารโลก ร่วมกันนำเสนอผลการศึกษาเรื่องการสร้างศักยภาพการแข่งขันของระบบอุดมศึกษาไทยในเศรษฐกิจโลก โดย ดร.ลูอิส เบนเวนิสเต ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาธนาคารโลก ระบุตอนหนึ่งในรายงานว่า แม้ว่าประเทศไทยจะประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่ ประชากร แต่คุณภาพการศึกษาในประเทศไทยยังเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข ไม่เช่นนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยจำนวนผู้เรียนที่เข้าสู่ระดับอุดมศึกษาและจำนวนสถาบันอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็พบว่าเกิดช่องว่างระหว่างคุณภาพกับปริมาณของบัณฑิต เป็นประเด็นที่ท้าทายความสามารถของผู้รับผิดชอบนโยบายการศึกษาของไทยเป็นอย่างมาก

ดร.ลูอิสกล่าวอีกว่า โอกาสการเข้าถึงการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทยยังไม่มีความเท่าเทียมกัน นักศึกษาที่เข้าสู่สถาบันอุดมศึกษากว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูง ส่วนผู้มีรายได้ต่ำสามารถเข้าถึงการศึกษาได้เพียงร้อยละ 5 แสดงให้เห็นถึงความไม่เสมอ ภาคในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ส่วนรัฐบาลให้เงินอุดหนุนเพื่องานวิจัยและพัฒนาเพียงร้อยละ 15 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ถือว่าน้อยมาก ทั้งสถาบันอุดมศึกษาเกือบร้อยละ 50 ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรอยู่เพียงร้อยละ 10 ของทั้งประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาธนาคารโลก กล่าวอีกว่า ประเทศไทยขาดแคลนแรงงาน โดยร้อยละ 80 ของผู้ประกอบการบางประเภท ไม่สามารถหาบุคลากรเข้าทำงานได้ โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์การแพทย์ นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังกำลังประสบปัญหาความไม่สมดุลระหว่างนักศึกษาปริญญาตรีกับปริญญาโทและเอกอย่างรุนแรง โดยปริญญาตรีมีร้อยละ 86 ส่วนปริญญาโทและเอกมีอยู่ เพียงร้อยละ 10 ของจำนวนนักศึกษาทั้งระบบอุดมศึกษา และจากการสำรวจยังพบว่าผู้ที่จบปริญญาตรีมีอัตราว่างงานสูงสุด ปริญญาเอกว่างงานร้อยละ 2.6

"โครงการเงินให้กู้และเงินทุนการศึกษาพบว่ามีอยู่มากมาย แต่ขาดประสิทธิภาพเรื่องการบริหารจัดการ โดยเฉพาะเรื่องการใช้หนี้คืนของนักศึกษาที่จบแล้ว สำหรับ สกอ. ควรสร้างแรงจูงใจเพื่อให้มหาวิทยาลัยสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น ส่วนรัฐบาลต้องลดบทบาทการกำกับดูแลอุดมศึกษาลง และให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการมากขึ้น" ดร.ลูอิสกล่าว.

ไม่มีความคิดเห็น: