วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นโยบายการรับนักเรียน ปีการศึกษา ๒๕๕๔

รมว.ศธ. กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้ สพฐ. จัดทำหลักเกณฑ์การรับนักเรียนและสัดส่วนในรายละเอียดทั้งหมด โดยให้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)

หลังจากนั้นจะได้นำข้อมูลมาดำเนินการทำ Workshop ร่วมกับโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง เพื่อจะได้มีการประกาศนโยบายรับนักเรียนในปีการศึกษา ๒๕๕๔ ให้เกิดความชัดเจน ทั้งในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ และมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เป็นการส่งเสริมคุณภาพของผู้เรียน สถานศึกษา โดยคำนึงถึงสัดส่วนของผู้เรียนในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง โรงเรียนระดับอำเภอ โรงเรียนดีประจำตำบล รวมถึงสัดส่วนของผู้เรียนที่ต้องไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเอกชน และผู้ที่จะเรียนสายอาชีพ
ซึ่งได้มอบหมายให้ สอศ. จัดทำโครงการแนะแนวการศึกษาสายอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องดำเนินการในปีการศึกษาที่จะถึงนี้ ๓ เรื่อง ได้แก่

การรับนักเรียนในปี ๒๕๕๔ ให้ยึดหลักที่ว่า นักเรียนทุกคนต้องมีที่เรียน

คำนึงถึงหลักเกณฑ์และสัดส่วน เพื่อสะท้อนคุณภาพในการจัดการเรียนการสอนอย่างแท้จริง และเพื่อสร้างความเสมอภาค ความเท่าเทียมกันในคุณภาพของสถานศึกษา

ดำเนินการให้มีความโปร่งใส ซึ่งจะไม่ให้มีการเรียกเงินกินเปล่า หรือการเรียกเงินที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และระเบียบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชน ผู้ปกครองช่วยกันก้าวข้ามพ้นค่านิยมที่ต้องการให้บุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ไม่ได้คำนึงถึงการช่วยกันสร้างคุณภาพของสถานศึกษา หรือคุณภาพห้องเรียน ขอให้ประชาชนเกิดความสำนึกในการร่วมกันระดมทุนให้กับสถานศึกษา มิใช่ยอมจ่ายเงินเพื่อให้บุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง เชื่อว่าการวางระบบและการวางรากฐานที่ดีในการรับนักเรียนจะเป็นระบบที่มีความชัดเจน โดยสถาน ศึกษาต้องดำเนินการตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งจะได้มีการตรวจสอบตัวเลขและข้อมูล เพื่อไม่ให้มีการรับนักเรียนเกินกว่าสัดส่วนที่กำหนด และจะไม่ให้มีการขยายห้องเรียนเพื่อหวังผลประโยชน์ในการรับนักเรียน หรือการเรียกเก็บผลประโยชน์อื่นใดอย่างเด็ดขาด

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า หากโรงเรียนใดมีความประสงค์จำเป็นต้องขยายห้องเรียน ต้องแจ้งล่วงหน้า เนื่องจากหากเปิดรับนักเรียนเกินสัดส่วนจะทำให้คุณภาพการศึกษาลดลงไปด้วย นอกจากนี้ โรงเรียนที่มีผู้อุปการคุณ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาชัดเจน โรงเรียนสามารถแจ้งได้ว่าในสัดส่วนของผู้มีอุปการคุณนั้น โรงเรียนจะขอรับนักเรียนเป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งจะติดตามให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวที่กำหนดไว้และหลังจากนี้จะทำความเข้าใจกับผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอัตราการแข่งขันสูงทั่วประเทศ และทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ในยุคปฏิรูปการศึกษา ทุกคนต้องช่วยกันสร้างสถานศึกษายุคใหม่ให้ข้ามพ้นค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง และสร้างความเสมอภาคให้สถานศึกษา ผู้เรียน ให้ได้มีโอกาสเรียนตามความถนัดและความสามารถของนักเรียนเป็นหลักสำคัญ

โดยในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ สพฐ. ได้เชิญกลุ่มผู้บริหารโรงเรียนที่อัตราการแข่งขันสูงมาทำ Workshop ร่วมกัน เพื่อหาจุดแข็งจุดอ่อนทั้งหมด เป็นแนวทางดำเนินการรับนักเรียน โดยจะได้มีการจัดทำคู่มือเพื่อให้สถานศึกษาเหล่านี้นำไปปฏิบัติ ซึ่งหลักโดยทั่วไปของความจุห้องเรียนที่เหมาะสมที่สุด คือ ๔๐ คนต่อ ๑ ห้อง

หากโรงเรียนใดที่มีความจำเป็นต้องขยายถึง ๔๕ คน ก็ให้เป็นอำนาจของสถานศึกษา แต่หากเพิ่มเป็น ๕๐ คน ต้องขออนุญาตจาก สพฐ. ซึ่งจะพิจารณาเป็นรายโรงเรียน ทั้งหมดนี้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าก่อนมีการประกาศนโยบาย และคาดว่ากลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ หลักเกณฑ์ต่างๆ จะมีความชัดเจน

ไม่มีความคิดเห็น: