วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"ห้องเรียนกลับด้าน"สพฐ.ให้"เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่ร.ร."

สุพินดา ณ มหาไชย
          "ห้องเรียนกลับด้าน" หรือ "Flipped Classroom" เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ Jonathan และ Aaron ครูวิชาเคมีของโรงเรียน Woodland Park High School  สหรัฐอเมริกา ค้นคิดขึ้น นักเรียนบางส่วนของพวกเขาจำเป็นต้องขาดเรียนบ่อยครั้งเพราะถูกกิจกรรมต่างๆ ดึงตัวออกไป ทั้ง 2 คนจึงระดมสมองคิดหาทางแก้ไข จนนำไปสู่ Flipped Classroom  ในปี 2007 จนถึงปัจจุบัน กระแส Flipped Classroom  แพร่ขยายเป็นวงกว้างในอเมริกา และในปีการศึกษา 2556 นี้ ชั้นเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะปรับตัวให้เป็นห้องเรียนกลับด้าน เช่นกัน
          "เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่โรงเรียน"
          นิยามสั้นๆ ของ Flipped Classroom นั้น “รุ่งนภา นุตราวงศ์" ผู้เชี่ยวชาญของ สพฐ. ซึ่งจับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า นำสิ่งที่เดิมเคยทำในชั้นเรียนไปทำที่บ้าน และนำสิ่งที่เคยถูกมอบหมายให้ทำที่บ้านมาทำในชั้นเรียนแทน ชั้นเรียนที่เราคุ้นเคยกันมานั้น ครูจะเป็นผู้บรรยายเนื้อหาต่างๆ ในชั้นเรียนแล้วมอบงานให้นักเรียนกลับไปทำเป็นการบ้าน แต่ Jonathan และ Aaron  สังเกตว่า เวลาที่นักเรียนต้องการพบครูจริงๆ คือ เวลาที่เขาติดขัดและต้องการความช่วยเหลือ เขาไม่ได้ต้องการครูอยู่ในชั้นเรียนเพื่อบอกเนื้อหา เพราะเขาสามารถค้นหาเนื้อหานั้นด้วยตนเองได้
          เพราะฉะนั้น ถ้าครูบันทึกวิดีโอการสอนให้เด็กไปดูเป็นการบ้าน แล้วครูใช้ชั้นเรียนสำหรับชี้แนะนักเรียนให้เข้าใจแก่นความรู้ หรือชี้แนะในการที่เด็กได้รับมอบหมายจะดีกว่า ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก เว็บไซต์ต่างๆ อย่างยูทูบอัดแน่นไปด้วยความรู้ต่างๆ เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หมดยุคที่ต้องคอยมารอรับความรู้ในชั้นเรียนเพียงช่องทางเดียวแล้ว
          เพราะฉะนั้นในห้องเรียนกลับด้าน ครูจะแจกสื่อให้เด็กไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้าน หรืออาจให้เด็กไปดูสื่ออย่างยูทูบ เมื่อมาเข้าชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้น นักเรียนจะซักถามข้อสงสัยต่างๆ จากนั้นก็ลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มโดยมีครูคอยให้คำแนะนำตอบข้อสงสัย
          “เพื่อตรวจสอบว่า เด็กได้ดูสื่อที่ครูให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าหรือไม่นั้น  จะมีเด็กบันทึกโน้ตมาส่งครู อาจบันทึกมาในสมุด เข้าไปเขียนไว้ใน Blog ของครู หรือเขียนส่งมาทางอีเมล และจะให้เด็กตั้งคำถามมาด้วยอย่างน้อย 1 ข้อ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการฝึกทักษะในการจดบันทึกให้แก่นักเรียนก่อนช่วงต้นปีการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห้องเรียนกลับด้านให้เด็ก"
          ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน  เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน   กล่าวเสริมว่า การให้เด็กเรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้าที่บ้านแล้วมาพูดคุยในชั้นเรียนนั้น จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เหลือเวลาสำหรับเติมสิ่งอื่นๆ ให้เด็กโดยเฉพาะทักษะคิดวิเคราะห์ รูปแบบเดิมนั้น เวลาในชั้นเรียนจะหมดไปกับการ warm-up (เตรียมพร้อม) จำนวน 5 นาที ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการบ้านของนักเรียน 20 นาที บรรยายเนื้อหาใหม่ 30-45 นาที เหลือแค่ 20-35 นาทีให้นักเรียนทำงานและกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ แต่ห้องเรียนกลับด้าน ใช้เวลา warm-up จำนวน 5 นาที ถามตอบเกี่ยวกับวิดีโอที่ดู 10 นาที ที่เหลืออีก 75 นาที เต็มๆ นักเรียนจะได้ทำงาน กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ มี่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ลุ่มลึกกว้างขวางขึ้น
          ที่ผ่านมา เด็กไทยอยู่ในกลุ่มเรียนเยอะ เปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงเรียนกับนานาชาติแล้ว ไทยอยู่ในกลุ่มบน ต่อปีเด็กไทยเรียนถึง 1,200 คาบ แต่ผลประเมินระดับนานาชาติ เช่น Pisa กลับอยู่ในกลุ่มล่าง เข้าทำนอง เรียนมากแต่รู้น้อย
  ดร.ชินภัทร บอกว่า 70% ของชั้นเรียนเป็นการบรรยายของครู แต่ถ้ากลับด้านห้องเรียนแล้ว แทนที่เด็กจะมาตัวเปล่า นั่งรอรับความรู้จากครู เด็กก็จะมาเรียนด้วยความเข้าใจเพราะเรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้ามาแล้ว ในชั้นเรียนจะเป็นการซักถามเพิ่มเติม การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน เราจะได้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 30-40 นาที สำหรับพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ให้เด็ก
          "ห้องเรียนกลับด้าน" ยังเป็นการเข้าใกล้การจัดการเรียนการสอนแบบ Child Center มากขึ้น แทนที่การสอนแบบ Teacher Center ซึ่งกำลังจะตกยุคเข้าไปทุกที ที่สำคัญช่วยแก้ปัญหาเรื่องการบ้านได้ด้วย
          ดร.ชินภัทร บอกว่า เด็กไม่ต้องไปทุกข์ทนกับการทำการบ้านที่บ้านอีกต่อไป การบ้านบางประเภทโดยเฉพาะ Problem solving นั้น เด็กไม่สามารถทำคนเดียวโดยปราศจากการแนะนำของครูได้ การฝึกให้การบ้านกับเด็กไป รั้งแต่สร้างความเครียดกับเด็ก สุดท้ายเด็กอาจเกลียดกลัวการมาโรงเรียน แต่ถ้ากลับด้านให้เด็กเรียนเนื้อหาล่วงหน้ามาเป็นการบ้านแล้วมาทำงานร่วมกันในชั้นเรียน จะช่วยให้เด็กเรียนด้วยความเข้าใจและมีความสุขขึ้น
          สพฐ.จะเดินหน้าปรับโฉมชั้นเรียนเป็น Flipped Classroom ทันทีในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556  ดร.ชินภัทร ย้ำว่า และนี่จะเป็นสิ่ง สพฐ.ทำเพื่อเพิ่มคุณภาพการจัดการเรียนการสอนได้โดยไม่ต้องรอการปฏิรูปหลักสูตรซึ่งอาจใช้เวลานาน และสำหรับ ดร.ชินภัทร แล้ว ห้องเรียนกลับด้าน เป็นการคิด "นอกกรอบ" ที่สพฐ.หามานาน สำหรับตอบโจทย์ปฏิรูปการศึกษา
คมชัดลึก ฉบับวันที่ 3 พ.ค. 2556 


2,478 ร.ร. สังกัดสพฐ. ขาดแคลนน้ำ หนัก!

          เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทบ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ได้รายงานสถานการณ์ต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ หมู่ 11 ต.โนนสมบูรณ์ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น ว่าปัจจุบันมีโรงเรียนในพื้นที่ชนบทที่ยังขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภคอยู่เป็นจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 32,186 แห่ง มีโรงเรียนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นรุนแรง จำนวน 2,478 แห่ง ปีงบประมาณ 2556 มีแผนการดำเนินการอีก 457 แห่ง โดยโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เป็นโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกให้ดำเนินโครงการปีงบประมาณ 2555 กิจกรรมที่ดำเนินการ การเจาะบ่อน้ำบาดาลพร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำบาดาล ก่อสร้างระบบประปาบาดาลและก่อสร้างอาคารพร้อมติดตั้งระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มสะอาดตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกแล้วเสร็จสามารถใช้งานได้
          อธิบดี ทบ.กล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรจากการศึกษาของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลพบว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่นอกเขตชลประทาน และมีศักยภาพด้านน้ำบาดาลสูง คือ มากกว่า 10 คิวบิกเมตรต่อชั่วโมง มากกว่า 11 ล้านไร่ สามารถพัฒนานำมาใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้แก่เกษตรกร ทำให้สามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปีที่บ้านทางพาดปอแดงได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2556 ได้ดำเนินการเจาะบ่อน้ำบาดาลเสร็จสิ้นทั้งหมด 13 บ่อ ส่วนการก่อสร้างถังพักน้ำและระบบการจ่ายน้ำอยู่ระหว่างการดำเนินการเมื่อโครงการแล้วเสร็จประชาชนก็จะสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างมาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

ก.ค.ศ.เล็งเพิ่มมาตรการจูงใจ เกลี่ยคนลงพท.ไกลหลังขาดแคลนหนัก

          นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำลังดำเนินการจัดทำกรอบอัตรากำลังบุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค (2) ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเท่านั้น ทำให้ต้องมากำหนดกรอบกันใหม่ทั้งหมด โดยจะกำหนดตามกลุ่มของเขตพื้นที่การศึกษา เช่น เขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 เขตพื้นที่การศึกษาที่อยู่ห่างไกลหรืออยู่ในชายแดน เป็นต้น ซึ่งการกำหนดอัตราดังกล่าวจะต้องดูปริมาณงาน ความห่างไกล และองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย และคาดว่าจะต้องมีการเกลี่ยบุคลากรไปยังเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ
          "เดิมกรอบอัตรากำลังชั่วคราวที่ ก.ค.ศ.วางไว้ ไม่สามารถจัดสรรหรือโอนให้ครบ เมื่อมีการกำหนดกรอบใหม่อาจจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติม อย่างในปัจจุบันการ
          จัดสรรในเขตพื้นที่การศึกษา จะมีมาตรการจูงใจ โดยจะให้เลื่อนตำแหน่งได้ 1 ระดับสำหรับเขตพื้นที่ฯ ห่างไกลเพื่อเป็นการจูงใจ ซึ่งจะต้องมาดูว่า ก.ค.ศ.ควรจะต้องกำหนดมาตรการจูงใจอะไรบ้าง" เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า ปัจจุบันหลายเขตพื้นที่การศึกษาจะประสบปัญหาไม่มีคนลงตามกรอบอัตราบุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค(2) เพราะไม่สามารถเกลี่ยหรือจัดสรรได้ และบางตำแหน่งไม่มีคนมาปฏิบัติงานเลย เช่น เจ้าหน้าที่พัสดุ และนิติกร ทำให้เขตพื้นที่การศึกษาประสบปัญหาในการทำงาน เป็นต้น
          เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาที่ผ่านมา ก.ค.ศ.จะอนุมัติเป็นกรณีพิเศษให้กับเขตพื้นที่การศึกษาที่ขาดแคลนในตำแหน่งสำคัญอย่างนิติกร แม้ในภาพรวมเขตพื้นที่การศึกษาดังกล่าวอาจจะมีอัตรากำลังที่เกินกรอบที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การกำหนดกรอบใหม่ ทาง ก.ค.ศ.จะทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคาดว่าจะนำเสนอที่ประชุม ก.ค.ศ.ได้ในเดือนพฤษภาคมนี้
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน


ไม่มีความคิดเห็น: