วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การยุบรวมหรือควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก

10 พฤษภาคม 2556 - นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เกี่ยวกับประเด็นการยุบรวมหรือควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
รมว.ศธ.กล่าวว่า เมื่อกล่าวถึงเรื่องของการยุบรวมหรือควบรวมโรงเรียน ต้องเข้าใจว่าไม่ได้เป็นการยุบทิ้ง แต่การยุบรวมหรือควบรวมโรงเรียนได้ดำเนินการมากว่า 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ซึ่งจนถึงปัจจุบันได้ยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไปแล้วประมาณ 3,000 โรง ซึ่งโรงเรียนที่ยุบรวมไปแล้วเป็นโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 60 คนลงมา โรงเรียนบางแห่งมีนักเรียนไม่ถึง 20 คน จำนวนประมาณ 700 โรงเรียน
 สิ่งที่ต้องดำเนินการคือ เราต้องการจะปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนเหล่านี้ ซึ่งดำเนินการได้ 2 แนวทาง
  • แนวทางแรกคือการควบรวม โดยนำโรงเรียนเล็กเหล่านี้ไปควบรวมกับโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น หรือโรงเรียนเล็กๆ ด้วยกัน ก็จะทำให้การเรียนการสอนในโรงเรียนเหล่านี้มีคุณภาพดีขึ้น เช่น โรงเรียน 3 โรงเรียนมารวมกัน แต่ละโรงเรียนสอน 2 ชั้น เช่น โรงเรียนที่หนึ่งสอนชั้น ป.1 ป.2 โรงเรียนที่สองสอนชั้น ป.3 ป.4 โรงเรียนที่สามสอนชั้น ป.5 ป.6 ในแต่ละชั้นเรียนก็จะมีครูที่สอนเต็มเวลาให้เด็กทุกคน
  •  แนวทางที่สองคือการยุบรวม  มีบางโรงเรียนซึ่งมีจำนวนนักเรียนเพียง 3 คน และอาคารเรียนก็ทรุดโทรมมาก หากจะไปควบรวมที่ใด ก็อาจไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์มากนัก กรณีนี้ก็ต้องยุบรวม โดยไม่ต้องจัดการเรียนการสอนต่อไป และชาวบ้านในชุมชนก็ต้องไม่ติดใจ พร้อมจะขนส่งนักเรียนในโรงเรียนเหล่านี้ไปเรียนในโรงเรียนอื่นที่มีคุณภาพการศึกษามากกว่า
 รมว.ศธ.กล่าวถึงการขนส่งนักเรียนไปเรียนที่อื่นหรือการขนส่งนักเรียนระหว่างโรงเรียนโดยการควบรวมนั้น รัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด โดยผู้ปกครองไม่ต้องเสียค่ารถในการเดินทาง ซึ่งได้ให้นโยบายแก่ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศไปแล้วว่าช่วงนี้จะมีการเปิดภาคเรียน จะเห็นตัวเลขว่าโรงเรียนแต่ละแห่งมีจำนวนนักเรียนเข้ามาเรียนเท่าใด สำหรับโรงเรียนเล็กๆ ก็จะต้องไปทำความเข้าใจและชี้ให้ผู้ปกครองเห็นว่าการเรียนที่นี่ในปีที่แล้วเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับโรงเรียนใกล้เคียงซึ่งมีนักเรียนหรือทรัพยากรต่างๆ มากกว่า และทำความเข้าใจกับผู้ปกครองว่าเมื่อมีการย้ายมาควบรวม หรือยุบรวมแล้ว ผลการเรียนของลูกหลานเป็นอย่างไร ผู้ปกครองและชุมชนจะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันตัดสินใจ
ย้ำว่าค่าขนส่งหรือค่าเดินทางต่างๆ นั้น รัฐจะจ่ายให้ โดยผู้ปกครองไม่ต้องจ่ายเงินเลย เพราะที่ผ่านมาก็มีการควบรวมไปหลายโรงเรียนแล้ว มีบริการจัดรถรับส่งให้ฟรี หัวหนึ่งที่จ่ายให้ 10 บาทต่อคนต่อวัน หรือระยะทางไกลมากขึ้น 15 บาทต่อคนต่อวัน แต่หากในพื้นที่นั้นไม่มีรถรับส่งของเอกชนให้บริการ ก็สามารถใช้บริการรถที่ สพฐ.จัดสรรให้ หรืออีกทางเลือกหนึ่งสำหรับโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนไม่มาก และโรงเรียนอยู่ไม่ไกลจนเกินไป ก็สามารถจัดหาจักรยานมาแจกนักเรียน เพื่อให้นักเรียนเดินทางไปโรงเรียนในละแวกใกล้เคียงได้เช่นกัน
 ต่อคำถามว่าหากไม่ยุบรวมหรือควบรวมโรงเรียน แต่ให้องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เข้ามาช่วยเหลือในการจัดการศึกษานั้นรมว.ศธ.กล่าวว่า หาก อปท.จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดการศึกษา ก็ยินดี แต่ อปท.ที่ดูแลในโรงเรียนขนาดเล็กมาก หลายองค์กรก็ไม่สามารถเข้ามาดูแลได้ เพราะโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีความเจริญมากนัก
 ในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นนั้น ที่ผ่านมา สพฐ.ก็มีการรับฟังกันมาโดยตลอด แต่โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลที่อื่นมากๆ หากจะมีการขนส่งนักเรียนไปไกลมากจนเกินไป โรงเรียนนี้ก็ไม่ควรถูกควบรวมหรือยุบรวม ซึ่งต้องฟังเสียงราษฎร ผู้ปกครอง นักเรียนในหมู่บ้านด้วย และขณะนี้จะเปิดภาคเรียน ก็จะเห็นจำนวนนักเรียนเป็นอย่างไร บางพื้นที่ต้องยอมรับว่าราษฎรย้ายไปทำมาหากินที่อื่น ทำให้ผู้คนหายจากพื้นที่ไปมาก รวมทั้งเด็กนักเรียนด้วย  ในขณะที่โรงเรียนบางแห่งเปิดแล้ว แต่ก็ไม่มีเด็กเข้ามาเรียน
 แต่หากบางโรงเรียนมีนักเรียนน้อย แต่จัดการศึกษาได้ดี มีตัวอย่าง ผลการเรียนดี ความร่วมมือของท้องถิ่นดี ก็ควรจะอยู่ต่อไป จึงย้ำว่าการตัดสินใจต้องดูผลประโยชน์สุดท้ายที่จะต้องตกอยู่กับนักเรียนในโรงเรียนเล็กๆ เหล่านี้ อะไรคือเขาจะได้ประโยชน์ที่สุด การศึกษาที่มีคุณภาพที่สุด หัวใจสำคัญคือการศึกษาที่มีคุณภาพของเด็ก เรียนที่ใดจะเป็นประโยชน์ต่อเขามากกว่ากัน
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี


สภาการศึกษาทางเลือกเตรียมจัดหนัก "พงศ์เทพ" หากไม่เลิกยุบรวม ร.ร.ขนาดเล็ก
          สภาการศึกษาทางเลือก จวก ศธ.ผุดนโยบายยุบควบรวม ร.ร.ขนาดเล็กแก้ปัญหาปลายเหตุ ทั้งที่ต้นเหตุมาจากการบริหารจัดการของ ศธ.ที่ไร้ประสิทธิภาพ ลั่นไม่ยกเลิกแนวทางดังกล่าว เตรียมประสานองค์กรศึกษาทั่วประเทศจัดหนัก "พงศ์เทพ"
          นายสมบูรณ์ รินท้าว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือ จ.น่าน ในฐานะประธานชมรมเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็ก กล่าวถึงกรณีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 60 คน จำนวน 14,186 แห่ง ว่า การยุบโรงเรียนขนาดเล็กโดยยกประเด็นเรื่องคุณภาพ ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยสนับสนุนทรัพยากรทางการศึกษาและทางการบริหารให้เลย ทั้งครู อุปกรณ์สื่อการเรียนการสอน โดยเฉพาะการนำผลคะแนนทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) มาเป็นตัวตัดสินยิ่งใช้ไม่ได้ในเวลานี้ เพราะหากติดตามผลการทำงานของโรงเรียนขนาดเล็กเป็นรายโรงไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ หรือตะวันออกเฉียงเหนือ จะพบว่าในปีการศึกษา 2555 นี้คะแนนโอเน็ตของเด็กป.6 ดีขึ้นติดอันดับต้น ๆ ของจังหวัดด้วยซ้ำ เฉพาะวิชาคณิตศาสตร์บางโรงเรียนทำได้สูงขึ้นถึง 40% และหลายวิชาก็ได้ค่าเฉลี่ยสูงกว่า 5% ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดด้วย หรือแม้การรับรองคุณภาพภายนอกจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) รอบที่ 3 ปัจจุบันก็มีโรงเรียนขนาดเล็กได้รับการรับรองด้วย นั้นเพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าแต่ขณะนี้โรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งได้ทำให้เห็นแล้วว่าคุณภาพของเด็กดีขึ้น แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรก็ตาม
          “เมื่อยกเหตุผลเรื่องไร้คุณภาพเพื่อยุบโรงเรียนขนาดเล็ก และยังปัญหางบประมาณที่มีจำกัดอีก แต่เสนอการแก้ปัญหาด้วยการซื้อรถตู้เพื่อรับส่งนักเรียน ถามว่าการซื้อรถตู้กรณีนี้ปัญหาที่จะตามมา คือ ค่าน้ำมัน ค่าคนขับ ค่าซ่อมแซม ค่าเสื่อมราคา เหล่านี้ใครจะมาเป็นคนรับผิดชอบ แล้วจะช่วยลดงบประมาณได้จริงไหมก็ไม่จริง แล้วถามต่อว่าเงินค่าน้ำมันจะเอามาจากที่ไหน ถึงบอกว่าจะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มาจ่าย แต่เอาเข้าจริงอปท.ก็ไม่ได้มีรายได้นอกเหนือจากงบประมาณอุดหนุนเพียงอย่างเดียว แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายมาสนับสนุนค่าน้ำมันรถรับส่งนักเรียนได้ เพราะฉะนั้น เหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหาไม่ได้ช่วยให้โรงเรียนขนาดเล็กมีคุณภาพดีขึ้น” นายสมบูรณ์ กล่าว
          นายสมบูรณ์ กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญการยุบโรงเรียนทิ้ง หรือการควบรวมยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่าส่วนกลางใช้ทรัพยากรบุคคลได้ไม่เต็มศักยภาพ เพราะหากยุบโรงเรียนแล้วกลุ่มผู้บริหารโรงเรียน ครูที่ไม่มีตำแหน่งที่ลงจะถูกนำไปกองรวมกันไว้ไม่มีที่ลง ทั้งที่ หากยังอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ยังสามารถทำประโยชน์และพัฒนาโรงเรียนได้เต็มศักยภาพมากกว่า
          “ยกตัวอย่างง่ายๆ กลุ่มของพวกผมรวมตัวกันมาแต่ปี 2554 เคยยื่นเรื่องขอกับทางต้นสังกัด สพฐ.เพื่อบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก มีเป้าหมายจะพัฒนาให้เป็นโรงเรียนชุมชน เราเสนอของบประมาณ 200,000 บาทต่อปีนำมาบริหารจัดการทั้งจ้างครูให้เพียงพอต่อการสอนเด็กแต่ก็ไม่เคยได้รับอนุมัติ แต่การจะจ่ายเงินซื้อรถตู้คันเป็นล้านบาทกลับซื้อได้ โดยที่ผ่านมาผมเคยไปรอพบ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ไม่มีโอกาสได้พบ ล่าสุดเมื่อเกิดประเด็นนี้ขึ้นเช้าวันพฤหัสบดีที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมาได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังหน้าห้อง รมว.ศึกษาธิการ เพื่อขอได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะผมมีความเชื่อว่าถ้า นายพงศ์เทพ ได้ฟังข้อเท็จจริงจะเข้าใจปัญหาและไม่สั่งยุบโรงเรียนแต่ก็ไม่ได้พูดคุยแต่อย่างใด” นายสมบูรณ์ กล่าว
          นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เลขาธิการสภาการศึกษาทางเลือก กล่าวว่า การยุบโรงเรียนขนาดเล็กเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ทั้งที่ต้นเหตุของปัญหามาจากการที่ ศธ.บริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ จัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้ไม่ทั่วถึงจากโรงเรียนในมือกว่า 3 หมื่นโรงทำไปมาจนกลายเป็นขนาดเล็กไปกว่า 1.7 หมื่นโรง เพราะให้ความสำคัญแต่การดูแลพัฒนาเด็กโรงเรียนในเมือง แต่หลงลืมโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ชายแดนต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นความไม่เป็นธรรมทางการศึกษาที่โรงเรียนขนาดเล็กต้องเผชิญอย่างชัดเจน ดูได้จากเงินอุดหนุนรายหัว จำนวนครูที่น้อยมีไม่ครบชั้นแต่ภาระงานการสอนกับต้องสอนเท่ากับโรงเรียนใหญ่ ๆ ที่มีพร้อม ทั้งยังถูกมองว่าไม่มีคุณภาพการศึกษาโดยไปยกตัวอย่างจากคะแนนโอเน็ต ซึ่งในความจริงภาพรวมคะแนนโอเน็ตของเด็กทั้งประเทศอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แต่ขณะที่ตนได้คุยกับผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งกลับพบว่า เด็กของโรงเรียนเหล่านี้ทำคะแนนโอเน็ตได้ดีกว่าเด็กโรงเรียนขนาดใหญ่ เพราะฉะนั้น ปัญหาไม่ใช่ที่คุณภาพ แต่เป็นการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพจนทำให้โรงเรียนขนาดเล็กกลายเป็นแพะรับบาป
          นายชัชวาลย์ กล่าวอีกว่า ศธ.ควรพิจารณาปัญหาและสาเหตุที่แท้จริง นั่นคือการบริหารงานของ ศธ.ที่กระจุกตัวส่วนกลางไม่กระจายอำนาจ กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม สุดท้ายก็ดูแลไม่ได้ทั่วถึง ทั้งที่ในพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หรือแม้แต่คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 ก็ระบุชัดเจนว่า ศธ.จะต้องกระจายอำนาจ และลดบทบาทของตัวเองจากผู้จัดการศึกษามาเป็นผู้สนับสนุนให้ท้องถิ่นมาร่วมจัดการศึกษา ไม่ใช่บริหารผิดแล้วก็มาจัดประชุมสั่งยุบโรงเรียนแบบนี้ คือ การทำงานแบบผิดทิศผิดทาง แล้วเดี๋ยวพอนานเข้ามีปัญหาก็สั่งยุบอีกเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
          “ร.ร.ขนาดเล็กควรจะปรับพัฒนาให้เป็น ร.ร.ของชุมชน กระจายอำนาจออกไปให้ท้องถิ่นมาช่วยดูแลแบบนี้จึงจะเป็นการสร้างความเป็นธรรมทางการศึกษาให้แก่โรงเรียนขนาดเล็ก เพราะต้องไม่ลืมว่าโรงเรียนเหล่านี้เกิดจากชาวบ้านที่เขาร่วมระดมทุน ร่วมสร้างมีความผูกพัน พอเด็กเหลือน้อยก็แก้ปัญหายุบทิ้งย้ายไปเรียนรวมที่อื่นเช่นนี้ผมมองว่าเป็นการซ้ำเติมชาวบ้าน ต้องคิดถึงใจชาวบ้านด้วย ขณะที่ สพฐ.ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดแม้ที่ผ่านมาจะพูดมาหลายรอบว่าการยุบจะต้องสำรวจก่อน แต่ปัญหาคือพอฝ่ายการเมืองมีทิศทางว่าจะยุบ ข้าราชการก็ตอบสนองนักการเมือง ตั้งธงยุบเป็นหลักตามเพราะฉะนั้น การจะทำอะไรต้องคุยกับผู้รู้ คนในพื้นที่เพื่อจะได้แก้ปัญหาตรงจุด โดยทางกลุ่มไม่ได้นิ่งนอนใจมีการหารือเพื่อกำหนดท่าทีหาก ศธ.ไม่ยุติหรือทบทวนเรื่องนี้ใหม่ ก็จะมีการเคลื่อนไหวใหญ่แน่นอน” นายชัชวาลย์ กล่าว
          นายชัชวาลย์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาทางสภาการศึกษาทางเลือก เคยพยายามติดต่อเพื่อขอเข้าพบ นายพงศ์เทพ แต่ก็ได้รับการเลื่อนนัดมา 2-3 ครั้งและเร็วนี้ ๆ จะพยายามประสานเพื่อขอพบและชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรงเรียนขนาดเล็กต่อไป
          นายวิทยา พันธุ์เพ็ง ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลโนนคูณ จ.ศรีสะเกษ รองประธานชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ข่าวเรื่องการยุบโรงเรียนขนาดเล็กได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดและหวั่นวิตกให้กับ ครู อาจารย์ ชาวบ้านทั่วประเทศ และจะให้เกิดผลกระทบอย่างมากมาย ที่สำคัญนโยบายปิดโรงเรียนขนาดเล็กเป็นการฉีกกฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพในการจัดการศึกษา ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศชาติ ซึ่งในมาตรา 49 กล่าวไว้ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการ ผู้ทุพลภาพ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะยากลำบากต้องใช้รับสิทธิตามวรรค 1และได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น ซึ่งตามกฎหมายมาตรานี้รัฐได้จัดให้โรงเรียนทั่วประเทศเพียงพอหรือยัง
          “เมื่อ3 ปีที่ผ่านมานักเรียนจากจังหวัดหนองคายที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ(มหิดลวิทยานุสรณ์) เกิดความเครียดจากการเรียน จุดไฟเผาห้องวิทยาศาสตร์มูลค่า130 ล้านบาท นี่คือโรงเรียนที่มีคุณภาพ แต่ถ้าไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนบ้านโคกอีแล้งมีนักเรียน 20 คน ได้เงินรายหัวแค่เล็กน้อย ตรงนี้เป็นปัญหาเรื่องความเสมอภาค นี่คือการฉีกกฎหมายรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายพ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 มาตราที่ 4 ว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับด้วย”นายวิทยา กล่าว
          นายวิทยา กล่าวต่อว่า ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้ประชากรได้เรียนอย่างทั่วถึง ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีปัญหาความเท่าเทียม เสมอภาคระหว่างโรงเรียนอยู่ แต่ ศธ.กลับมีนโยบายยุบโรงเรียน นโยบายนี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อนักเรียนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เมื่อถูกย้ายไปเรียนไกลบ้านเชื่อว่านักเรียนบางส่วนจะไม่ไปเรียน ดังนั้นเรื่องการยุบโรงเรียนขนาดเล็กต้องถามชุมชนด้วย อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวมีครูโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่เห็นด้วยกับการยุบโรงเรียนถึงขนาดจะนำผู้ปกครอง และนักเรียนเดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อคัดค้านการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งประเด็นทั้งหมดนี้ทางส.ค.ท.จะรวบรวมนำเสนอนายกฯในคราวต่อไป
          ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกและเครือข่ายโรงเรียนชุมชนได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง การแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กของภาครัฐ โดยระบุว่า การยุบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กสะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมและเหลื่อมล้ำ ดังนี้ 1.ความไม่เป็นธรรมในการแก้ปัญหาอันเกิดจากความล้มเหลวด้านหารบริหารจัดการศึกษาของ ศธ. 2.ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานของประชาชน 3.ความไม่เป็นธรรมต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง 4.ความไม่เป็นธรรมต่อเด็กในการเรียนรู้ 5.ความไม่เป็นธรรมต่อชุมชน และ 6.ความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากการศึกษาแบบรวมศูนย์ของรัฐ ซึ่งท่าทีและแนวทางนี้เป็นการหักหาญและทำลายหัวใจพ่อแม่และชุมชน
          สำหรับการบริการจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้มีคุณภาพ สภาการศึกษาทางเลือกและเครือข่ายโรงเรียนชุมชนเสนอดงันี้ 1.ศธ.ต้องกระจายอำนาจการจัดการศึกษาแก่ท้องถิ่น และ 2.ขอคืนพื้นที่การศึกษาให้แก่ชุมชน ยกเลิกนโยบายยุบควบรวมดรงเรียนขนาดเล็ก หาก ศธ.ยังเดินหน้าเรื่องนี้ โดยไม่ฟังแนวทางจากภาคประชาชน สภาการศึกษาทางเลือกจะประสานองค์กรด้านการศึกษาทั่วประเทศจัดรณรงค์ครั้งใหญ่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและการรวมศูนย์อำนาจการจัดการศึกษา ที่เป็นต้นตอของวิกฤตการศึกษาไทย
--ASTVผู้จัดการออนไลน์--

ชี้ยุบโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มภาระให้เด็กผู้ปกครอง-ทำลายชุมชน
          ศูนย์ข่าวขอนแก่น-บุคคลากรทางการศึกษาในภาคอีสาน ไม่เห็นด้วยยุบโรงเรียนเด็กเล็ก คาดกระทบพ่อแม่ ผู้ปกครองและเด็กแน่ เพราะต้องไปเรียนไกลขึ้น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ตลอดจนทำลายวิถีชุมชน ชี้นโยบายนี้เป็นเรื่องทางการเมือง เชื่อการศึกษาจะมีคุณภาพหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ขนาดหรือจำนวนนักเรียน แต่อยู่ที่ผู้บริหาร และผู้คุมนโยบาย
          นายปัญญา แพงเหล่า ผู้อำนวยการกลุ่มอำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 29 จ.อุบลราชธานี แสดงความไม่เห็นด้วยกับการยุบโรงเรียนขนาดเล็กเข้าด้วยกัน เพราะทำให้เสียเสาหลักของบ้านเมืองคือ บ้าน วัด โรงเรียนที่สืบทอดกันมานานเป็นร้อยปี และเป็นการทำร้ายจิตใจผู้ปกครองของนักเรียนอย่างรุนแรง เพราะโรงเรียนตามหมู่บ้าน ถือเป็นที่เชิดหน้าชูตาของชุมชนนั้น การไม่มีโรงเรียนเหลืออยู่ในหมู่บ้าน จึงเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองรับไม่ได้แน่นอน
          การยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ยังสร้างผลกระทบในการเดินทางไปเรียนของนักเรียนที่เป็นเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กตามชนบทที่การคมนาคมยังเป็นถนนฝุ่น ถนนลูกรังเป็นส่วนมาก ฤดูฝนทำให้การเดินทางไปโรงเรียนลำบาก และยังเป็นการเพิ่มภาระและค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครองที่ต้องส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนที่ห่างไกลจากหมู่บ้าน
          นายปัญญา ยังตอบคำถามกรณีครูผู้สอนอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่อย่างไรก็ยังมีโรงเรียนให้สอนอยู่ดี แต่ผลกระทบตกอยู่กับเด็กนักเรียนและชาวบ้าน หากคิดว่าการยุบโรงเรียนขนาดเล็กมารวมกันเป็นเรื่องดี ทำให้คุณภาพการสอนดีขึ้น อยากให้ทดลองทำจังหวัดละ 1 โรงเป็นเวลาหนึ่งปีการศึกษา แล้วให้วัดผลก็จะรู้ว่าการยุบรวมกันไม่ได้ทำให้เรียนการสอนดีขึ้นแต่อย่างใด
          สำหรับจุดประสงค์ที่ต้องการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก นายปัญญามองว่า เป็นเรื่องของนักการเมืองที่มองมุมเดียว ต้องการให้มีแต่โรงเรียนขนาดใหญ่ เพื่อบริหารจัดการเงินงบประมาณได้ง่าย ทั้งที่ความจริงโรงเรียนขนาดเล็กชุมชนเป็นผู้ดูแลเรื่องค่าน้ำค่าไฟมานานแล้ว ไม่ต้องใช้จ่ายงบประมาณที่รัฐจัดให้ด้วยซ้ำไป
          ดังนั้น การอ้างค่ารายหัวของนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็ก ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่รัฐจัดให้ จึงไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเกมของนักการเมือง เหมือนการยุบเขตการศึกษาทั่วประเทศมารวมกันกว่า2 ปี แต่คุณภาพการศึกษาไม่ได้ดีขึ้นเหมือนที่พูดไว้ ตรงข้ามกลับแย่ลงเรื่อยๆ นักการศึกษารายนี้ให้ความเห็นไว้
          สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี มีโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 100 คน และอยู่ในข่ายที่ต้องถูกยุบประมาณ 150 แห่ง จากจำนวนโรงเรียนทั้งหมดกว่า 1,300 แห่ง
          ดร.อุทัย ปลีกล่ำ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเลยตาดโนนพัฒนา อ.ภูหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลยเขต 2 จ.เลย กล่าวว่า โรงเรียนนั้นอยู่ร่วมกับชุมชนมานาน มีการช่วยเหลือ ดูแลและมีการประสานงานในด้านต่างๆ ด้วยกัน เดิมนั้นเรามี บ้าน วัด โรงเรียน ที่อยู่ด้วยกันมาตลอด โรงเรียนนั้นเป็นศูนย์รวมการประสานความร่วมมือและการพัฒนาชองหมู่บ้าน ในหมู่บ้านซึ่งจะขาดไม่ได้ตรงนี้ ไปก็คงลำบาก
          ส่วนข้อดี หากมีการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก จริงๆ นั้น โรงเรียนไหนที่มีครูน้อย การจัดการไม่ครอบคลุม การเรียนการสอนก็อาจจะไม่คุ้มค่า หากจะมีการยุบโรงเรียนก็น่าจะมาบอกกันล่วงหน้าหลายๆ ปี ไม่เร่งรีบจนเกินไป หากจะยุบโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน ก็จะต้อง ศึกษาดีๆ หากจะยุบก็ให้ยุบโรงเรียนที่มีน้อยไปมาก ไม่ควรตั้งมาจาก 60 คน หากจะยุบจริงก็ให้ยุบโรงเรียนที่มีครู แค่ 1 หรือ 2 คน และให้เวลาโรงเรียนหรือชุมชนเหล่านั้นปรับตัว
          ด้าน นายมงคล ชูทิพย์ ผู้อำนวยโรงเรียนมโนบุเรศรบำรุงการ เลขที่ 268 หมู่ที่ 1 ถนนเลย -ด่านซ้าย บ้านไร่ม่วง ต.น้ำหมาน อ.เมืองเลย จ.เลย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลยเขต 1 กล่าวว่า โรงเรียนนั้นผูกพันกับชุมชนมาช้านาน ยิ่งโรงเรียนนี้แล้ว ชาวบ้านมีความภาคภูมิใจในชื่อโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนนี้ก็มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่ชื่อพระราชทาน จากสมเด็จย่า
          ชาวบ้านหวงแหนและถือเป็นประวัติศาสตร์ของจังหวัดเลย มีความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้าน กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาวบ้านในหมู่บ้านสามารถร่วมแก้ปัญหาในชุมชนและโรงเรียนได้ เป็นจุดบริการชุมชนในด้านวิชาการต่างๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โรงเรียนเป็นเหมือนสถาบันในหมู่บ้าน
          ขณะที่แหล่งข่าวระดับรองผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง แถบชานเมืองขอนแก่น กล่าวถึงนโยบายดังกล่าวของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการว่าหากมองในประเด็นยุบแล้วนำเด็กนักเรียนและครูไปรวมกับโรงเรียนขนาดที่ใหญ่กว่าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลชุมชนเดิมของเด็กมากนัก ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเด็กและผู้ปกครองมากนัก
          แต่ทั้งนี้กระทรวงศึกษาฯต้องชัดเจนในแนวทางปฏิบัติว่า หลังยุบรวมโรงเรียนแล้วจะพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนให้ดีกว่าเดิมได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ยุบรวมกันแล้วการเรียนการสอนยังเหมือนเดิม งบพัฒนาครู งบจัดซื้ออุปกรณ์เสริมทักษะเด็กไม่ได้เพิ่มขึ้น
          อย่างไรก็ตาม ในความเห็นส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ เพราะยิ่งโรงเรียนใดมีเด็กนักเรียนน้อยและมีครูผู้สอนในอัตราส่วนที่พอเหมาะกับจำนวนนักเรียน ครูที่มีอยู่สามารถที่จะทุ่มเทความรู้ความสามารถทุ่มเทเวลาสอนเด็กได้เต็มที่ เมื่อเด็กมีน้อยการดูแลการสอนก็ทำได้อย่างทั่วถึง ดีกว่าโรงเรียนชื่อดังในตัวเมืองเสียอีก เพราะโรงเรียนยิ่งดังเด็กนักเรียนยิ่งเยอะการเรียนการสอนทำได้ไม่เต็มที่เท่ากับโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดเล็กควรได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลเป็นพิเศษ
          “การจัดการบริหารการศึกษาจะมีคุณภาพหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ขนาดของโรงเรียนหรือจำนวนนักเรียนว่าจะมีน้อยหรือมาก อยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้บริหารมากกว่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีและผู้ใหญ่ในกระทรวงผู้กำหนดแนวนโยบายว่าใส่ใจจริงจังที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเยาวชนมากน้อยแค่ไหนมากกว่า”
--ASTVผู้จัดการออนไลน์--

ไม่มีความคิดเห็น: