วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ร้องวิทยฐานะเหลื่อมล้ำกลุ่มพีอาร์-นักวิชาการชงแก้ก.ม./สพฐ.จ่อย้ายผอ.ด้อยคุณภาพ

ที่หอประชุมคุรุสภา เมื่อวันที่ 24 ต.ค.56 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้จัดงานประชุมสมัชชาบุคลากรทางการศึกษาว่าด้วยการสร้างความพร้อมขับเคลื่อนการศึกษาขั้นพื้นฐานสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งมีสมัชชาบุคลากรทางการศึกษา 38 ค (2) ประมาณ 1,500 คนเข้าร่วม โดยได้เชิญนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มาเป็นประธาน พร้อมกันนี้นายชาญ คำภิระแปง ประธานสมัชชาบุคลากรทางการศึกษา ได้ชี้แจงต่อนายจาตุรนต์ ถึงการเหลื่อมล้ำของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี 2547 กำหนดให้บุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา38 ค (1) ได้แก่ ครูผู้สอน ผู้บริหารการศึกษาผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ได้รับเงินวิทยฐานะตำแหน่งชำนาญการ 3,500 บาท และตำแหน่งชำนาญการพิเศษ (คศ.3)รับเงินวิทยฐานะ5,600x2=12,000 บาทขณะที่บุคลากรฯ ตามมาตรา 38 ค (2) ได้แก่นักประชาสัมพันธ์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาทรัพยากรบุคคล และนักจัดการงานทั่วไปตำแหน่งชำนาญการไม่ได้รับเงินวิทยฐานะตำแหน่งชำนาญการพิเศษ ได้รับเงินวิทยฐานะ3,500 บาท ดังนั้น จึงขอให้ รมว.ศึกษาธิการ แก้กฎหมายเพื่อปลดล็อกให้บุคลากรฯ38ค (2) ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 13,700 คนทั่วประเทศได้มีสิทธิ์เท่าเทียมกับบุคลากรฯ 38 ค (1) เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
          ทั้งนี้ นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการก.ค.ศ. กล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับกฎหมาย 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา, พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี 2547 และ พ.ร.บ.เงินเดือนครู มาตรา 31 วรรค 2 คงต้องแก้ไขกันทั้งระบบและอาจต้องยุบบางตำแหน่งซึ่งต้องวิเคราะห์ให้ดีเพื่อกำหนดภารกิจของงานให้บุคลากรฯ 38 ค (2) จะเข้าลู่เดียวกับบุคลากรฯ 38 ค (1) ได้
          วันเดียวกัน นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยถึงกรณีงานวิจัยเรื่องพัฒนาการของการทดสอบระดับชาติ และการประกันคุณภาพระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)ที่ระบุถึงการเน้นบทลงโทษโรงเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินภายนอก จะถูกตัดงบประมาณว่างบฯ ปกติที่โรงเรียนจะได้รับการจัดสรร ก็คือเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวผู้เรียน ซึ่งโรงเรียนอยู่ได้ด้วยงบฯ นี้ ตัดไม่ได้เด็ดขาดเพราะผิดกฎหมาย ส่วนงบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นงบฯพัฒนาสถานศึกษา ก่อสร้างซ่อมแซมอาคารสถานที่ หรืองบฯ อบรมต่างๆ นั้นอาจถูกตัดหรือปรับลดงบฯ ได้ตามดุลพินิจของสำนักงบประมาณ หรือชั้นพิจารณาของกรรมาธิการส่วนการโยกย้ายผู้บริหารหากไม่มีคุณภาพนั้นสพฐ. ต้องทำอยู่แล้ว แต่จะย้ายไปไว้ส่วนใดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำอีกนั้น สพฐ. จะหารือกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่าจะดำเนินการกับกำลังพลเสื่อมเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ


ถึงเวลาที่รัฐต้อง...ลงทุนผลิตครู...อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

          คุณภาพการศึกษาของประเทศไทย มีพัฒนาการที่ด้อยคุณภาพลงอย่างต่อเนื่อง  พิจารณาจากตัวชี้วัดหลายอย่าง
          คุณภาพการศึกษาของประเทศไทย มีพัฒนาการที่ด้อยคุณภาพลงอย่างต่อเนื่อง  พิจารณาจากตัวชี้วัดหลายอย่าง นับตั้งแต่ตัวชี้วัดระดับนานาชาติ ผลสอบ PISA (Programmer for International Student Assessment) ซึ่งจัดสอบโดยองค์การความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organization  for Economic Co-operation and Development : OECD) ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา  ผลการสอบมีพัฒนาการที่ตกต่ำลงตลอด เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่อยู่กลุ่มท้าย เช่น บราซิล แม้คะแนนจะต่ำแต่หากพิจารณาจากพัฒนาการเขาดีขึ้น
          นอกจากนี้จากการประเมินคุณภาพการศึกษาของกลุ่มประเทศอาเซียนในงานเวิลด์อีคอนอมิกฟอรั่ม หรือ WEF ที่เจนีวา ปี 2555 พบว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย อยู่ลำดับที่ 6 ตามหลังสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน  อินโดนีเซีย และเวียดนาม  ส่วนระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา อยู่ลำดับที่ 8 ตามหลังฟิลิปปินส์และกัมพูชา (เดลินิวส์ : 25 ธ.ค. 2555) และผลการวิจัยแนวโน้มการจัดการศึกษา คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ (The Trends in International Mathematics and Science Study : TIMSS) พ.ศ. 2554 ที่จัดโดย IEA (The International Association for the Evaluation of Educational Achievement) พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา วิชาคณิตศาสตร์ อยู่ในลำดับที่ 28 วิทยาศาสตร์อยู่ลำดับที่ 25 จาก 45 ประเทศ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มระดับแย่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชาคณิตศาสตร์อยู่ลำดับที่ 34 วิทยาศาสตร์อยู่ลำดับที่ 29 จาก 52 ประเทศ โดยคณิตศาสตร์จัดอยู่ระดับแย่ วิทยาศาสตร์ถูกจัดอยู่ในกลุ่มพอใช้ ส่วนการสอบ O-Net ก็มีแนวโน้มคะแนนเฉลี่ยของผลการสอบรายวิชาหลักทั้งวิทยา ศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ตกต่ำมาก
          การที่คุณภาพการศึกษาตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง อาจมาจากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย แต่ปัจจัยเหล่านั้น อาจมีอิทธิพลมากน้อยแตกต่างกัน เช่น ความใส่ใจของผู้ปกครอง นโยบายรัฐที่ไม่เป็นเอกภาพขาดความต่อเนื่อง ระบบการสอนที่ไม่มีการตกซ้ำชั้น การปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งปฏิรูปแต่โครงสร้าง แต่ไม่เคยหันมาปฏิรูปการเรียนการสอนของครูอย่างจริงจัง ผู้บริหารโรงเรียนที่สนใจแต่กายภาพมากกว่าการพัฒนางานวิชาการ และเตรียมโยกย้ายไปโรงเรียนที่ใหญ่กว่าเดิม ศักดิ์ศรีดีกว่าเดิม เป็นต้น แต่ที่แน่นอนที่สุดและทุกฝ่ายยอมรับยืนยันตรงกันว่าคุณภาพการศึกษาจะต้องเริ่มต้นที่ครูเป็นปัจจัยที่ตรงประเด็นที่สุด
          ข้อเขียนชิ้นนี้ ต้องการสะท้อนในมุมของผู้ผลิตครูว่าสถาบันผลิตครู มีส่วนอย่างมากในกระบวนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะหากสถาบันผลิตครูด้อยคุณภาพ จะไปหวังอะไรกับคุณภาพครู และหากคุณภาพครูด้อยคุณภาพ ก็อย่าไปหวังว่าคุณภาพการศึกษาจะดีไปกว่าคุณภาพของครูไปได้ (คำกล่าวของ Sir Michael Barber, Minneapolis: 6 August 2009) หากพิจารณาจากพัฒนาการของการอุดมศึกษาไทย ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่ผ่านมา มีข้อสังเกต ดังนี้
          1. ภาครัฐ มีทัศนคติโดยภาพรวมต่อระบบอุดมศึกษาว่า เป็นการศึกษาฟุ่มเฟือย เป็นการศึกษาที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศแต่อยู่ในลำดับต่ำ ผู้ที่ต้องการเรียนควรจะลงทุนเอง เพราะเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วผู้เรียนจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนต่อตนเองสูงกว่าผลตอบแทนคืนต่อสังคมโดยรวม รัฐจึงพยายามผลักภาระค่าใช้จ่ายระดับอุดมศึกษาไปที่ผู้เรียน จากเดิมรัฐเคยสนับสนุนคนเรียนระดับอุดมศึกษาในสัดส่วนที่อาจสูงถึงร้อยละ 80 ของค่าใช้จ่ายจริงต่อการผลิตบัณฑิตหนึ่งคน แต่สภาพปัจจุบันผู้เรียนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายระดับอุดมศึกษาสูงขึ้นกว่าเดิมมาก จึงส่งผลให้ค่าเรียนระดับอุดมศึกษาสูงขึ้น แต่จะมีประชาชนสักกี่คนที่เข้าใจว่ารัฐต้องการผลักภาระนี้ให้ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบ อีกทั้งต้องยอมรับความจริงว่าประเทศไทยมิใช่ประเทศสังคมนิยม หรือมีการจัดรัฐสวัสดิการเหมือนประเทศในยุโรป ที่หากต้องการเรียนฟรีถึงระดับมหาวิทยาลัยประชาชนต้องเสียภาษีประมาณร้อยละ 30 เช่น ฝรั่งเศส โปแลนด์ ออสเตรีย เป็นต้น
          2. ค่าใช้จ่ายต้นทุนการผลิตบัณฑิต รวมทั้งบัณฑิตครูสูงขึ้นมาก แต่การเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษายังไม่สามารถเก็บจนถึงขั้นจุดคุ้มทุนได้อย่างแท้จริง เพราะในมหาวิทยาลัยก็มีการเมืองที่ไร้เหตุผล ทั้งที่มหาวิทยาลัยต่างประเทศเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาสูงกว่ามหาวิทยาลัยไทยหลายสิบเท่า เมื่อเป็นเช่นนี้จะเรียกร้องเอาอะไรกับคุณภาพทั้งอาคารสถานที่ การพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ไม่ต้องอื่นไกล คณะศึกษาศาสตร์  Malaya University ประเทศมาเลเซีย มีงบประมาณมากพอที่จะจ้างอาจารย์เก่ง ๆ ระดับโลกมาเป็นอาจารย์  โดยมีถึงร้อยละ 39 ของอาจารย์ทั้งคณะ ถามว่าคณะศึกษาศาสตร์ในประเทศไทยมีงบประมาณมากพอที่จะทำเช่นนี้ได้หรือไม่
          3. สภาพการบริหารงานของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ในประเทศไทย รวมถึงมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยภาพรวม อธิการบดี  คณบดี จะต้องรับผิดชอบหางบประมาณมาให้เพียงพอต่อการบริหารงาน นับตั้งแต่เงินเดือนอาจารย์ที่ต้องจ้างเพิ่มเอง งบฯเพื่อขึ้นเงินเดือน งบฯ เพื่อการพัฒนาคณาจารย์และนิสิต งบฯเพื่อการดูแลอาคารสถานที่ ยานพาหนะ และอื่น ๆ อีกจิปาถะ ทั้งที่ทุกวันนี้รัฐสนับสนุนงบฯ ก้อนโตที่สุดก็เฉพาะงบฯ เงินเดือน การลงทุนสร้างอาคาร (นาน ๆ จะได้รับ) ส่วนงบฯ ดำเนินการผู้บริหารต้องหามาเอง เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ต้องเห็นใจมหาวิทยาลัยขนาดเล็กที่ชื่อเสียงยังสู้มหาวิทยาลัยเก่า ๆ ไม่ได้ เมื่อมีนักเรียนมาสมัครมาก ๆ ก็ต้องรับไว้ก่อน ก็เพื่อความอยู่รอดของมหาวิทยาลัย จึงเป็นที่มาของ “ธุรกิจการศึกษา” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  และหากใครจะบอกว่า ถ้านักเรียนไม่มีคุณภาพก็ไม่ต้องรับ หรือรับน้อย ๆ  ถามว่า “ค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าเงินเดือนคณาจารย์ ใครจะรับผิดชอบจ่ายแทน ไม่เหมือนสมัยก่อนรับนิสิตนักศึกษามาสอน 5 คนก็อยู่ได้ เพราะรัฐรับผิดชอบทุกอย่าง การคัดเลือกก็เข้มข้น  เอาคุณภาพได้ เพราะไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุนจนหย่อนคุณภาพผู้เขียนได้เดินทางไปร่วมประชุมบอร์ดบริหารของ SEAMEO RIHED ครั้งที่ 21 ที่ National Institute of Education (NIE) ของสิงคโปร์ ในฐานะต้องไปนำเสนอ Country Report เรื่อง ครุศึกษาของประเทศไทย วันที่ 26-29 ก.ย. 2556 และได้มีโอกาสพูดคุยกับศาสตราจารย์ Oon-Seng TAN  คณบดีของ NIE และ Mr.Ng CherPong ผู้ช่วยปลัดกระทรวงด้านนโยบาย กระทรวงศึกษาธิการ สิงคโปร์ เกี่ยวกับปัญหาระบบการผลิตครู ทำให้ทราบว่า สิงคโปร์ถือว่าการผลิตครูเป็นภารกิจของรัฐที่ต้องลงทุน ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบงบประมาณ 100% และลงทุนสร้างห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ให้กับ NIE เป็นการเฉพาะด้วย  รวมถึงมีการลงทุนสร้างห้องเรียนต้นแบบในอนาคตที่ทันสมัยอย่างเต็มที่
          4. ระบบการผลิตครูในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ หากต้องการคุณภาพที่แท้จริง ต้องมิใช่การจัดการเรียนการสอนแบบแยกส่วน คือ ต้องการผลิตครูวิทยาศาสตร์ก็จะแยกส่วนวิทยาศาสตร์ไปเรียนกับอาจารย์ที่สอนคนให้ไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ และเรียนหลักวิชาชีพครูกับคณะศึกษาศาสตร์ แต่ของ NIE จะจัดสอนโดยคณาจารย์ที่เคยเป็นครูในโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานมาก่อน แล้วนำมาพัฒนาต่อยอด เพื่อเป็นครูวิทยาศาสตร์ใน NIE เพราะครูวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการสอนลงลึกในเนื้อหาแบบนักวิทยาศาสตร์ แต่การสอนคนให้ไปเป็นครูวิทยาศาสตร์ต้องสอนให้แม่นหลักการพื้นฐาน โดย NIE จะมีคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญทั้งหลักวิชาชีพครูและวิทยาศาสตร์ในคนคนเดียวกัน ซึ่งประเด็นนี้เป็นปัญหาหนักที่สุดของประเทศไทย เพราะมีผู้มีอำนาจเชิงนโยบายไม่เชื่ออย่างที่  NIE ปฏิบัติ ทุกวันนี้ได้พัฒนาการไปจนถึงขั้นผลิตครูโดยคณะที่มิใช่ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่ใช่มืออาชีพ แล้วจะได้ครูมืออาชีพได้อย่างไร
          5. การไม่สนับสนุนไม่ส่งเสริมการพัฒนาคณาจารย์ใน คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ส่งผลลบและผลกระทบชัดเจนถึงปัจจุบัน เพราะในอดีตรัฐมีทุนพัฒนาคณาจารย์ให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่มาเกือบ 20 ปีนี้รัฐไม่มีทุนสนับสนุนอย่างชัดเจน ทำให้คณาจารย์คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ส่วนใหญ่จบการศึกษาในประเทศ หรือไม่ก็จากประเทศแถบเอเชียที่ไม่ต้องลงทุนสูง ทำให้ศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ หวังจะผลิตครูเพื่อไปสอนนักเรียนโดยใช้ภาษาอังกฤษ รวมถึงการจะเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของอาเซียนยิ่งยากไปใหญ่
          6. การยกฐานะวิทยาลัยครูเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏ การยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษา เป็นมหาวิทยาลัย และการยุบกรมการฝึกหัดครู ส่งผลให้ระบบการผลิตครูของไทยอ่อนแอลงอย่างชัดเจน  จากวิทยาลัยวิชาการศึกษาที่มีลักษณะคล้าย NIE ของสิงคโปร์ กลับกลายเป็นคณะศึกษาศาสตร์ที่อ่อนแอ มีอาจารย์บางท่านเคยเสนอให้ยุบคณะศึกษาศาสตร์เป็นแค่ภาควิชาก็พอ นับเป็นการเดินนโยบายที่ผิดพลาดอย่างชัดเจน
          ทั้งนี้ผู้เขียนมีข้อเสนอต่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้โปรดพิจารณา
          1) ยอมรับและปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า การผลิตครูต้องเป็นการลงทุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่ เป็นสาขาวิชาที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าสาขาวิชาด้านวิทยา ศาสตร์สุขภาพ อาจต้องรับผิดชอบทั้งระบบ แต่ควรจัดสรรในรูปนักเรียนทุนการผลิตครูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสามารถพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน
          2) ส่งเสริมให้มีสถาบันผลิตครูคุณภาพที่มีลักษณะของการบูรณาการวิชาชีพครูกับความรู้เฉพาะ เพื่อสร้างคณาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถสูงในการสร้างคนให้เป็นครูคุณภาพ และหากเป็นระบบปิดได้จะยิ่งทำให้การกำกับคุณภาพทำได้ง่ายขึ้น
          3) คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ที่มีมากถึง 74 สถาบัน ควรปรับเปลี่ยนบทบาทและส่งเสริมให้รับผิดชอบการพัฒนาครูประจำการอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐสนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
          4) พัฒนาระบบการดูแลครูใหม่ที่เริ่มเข้าสู่วิชาชีพ (Induction period) ให้สามารถปรับตัวเข้าสู่วิชาชีพได้อย่างราบรื่น และมีการพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง มิใช่ปล่อยให้ไปหาทางแก้ปัญหาเองจนบางครั้งสร้างเจตคติที่ไม่ดีต่อวิชาชีพครูไปตลอดชีวิต
          5) อนาคตอันใกล้นี้มีแนวโน้มการจำกัดจำนวนนิสิต นักศึกษาครูไม่ให้เกินห้องละ 30 คน จะยิ่งกดดันให้คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ต้องพิจารณาต้นทุนการผลิตบัณฑิตครูมากขึ้น
          6) การดำเนินงานตามแนวทางข้างต้นจะต้องมีคณะทำงานที่ไม่ผูกติดกับรัฐบาลหรือรัฐมนตรี  เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชิงนโยบาย
          จากข้อเสนอดังกล่าวหากได้รับการพิจารณาและนำสู่การปฏิบัติบ้าง เชื่อว่า สถานการณ์ปัญหาของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์จะเปลี่ยนไปสู่กระบวนการเชิงคุณภาพมากขึ้นได้
          รศ.ดร.มนตรี แย้มกสิกร
            คณบดีคณะศึกษาศาสตร์
            มหาวิทยาลัยบูรพา
          ที่มา: http://www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น: