เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบ
- ความเป็นรัฐบาลรักษาการ อาจจะใช้ระยะเวลาอีกนาน หาก ศธ.ไม่เร่งรัดการทำงาน ก็จะส่งผลเสียต่อการจัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ จึงขอให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินงานในเรื่องที่สามารถทำได้ตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย รวมทั้งเรื่องที่กำลังหาข้อสรุป หรือที่ได้ประกาศออกไป เช่น ปฏิทินการเปิด-ปิดภาคเรียน มิฉะนั้นหลายเรื่องที่ดำเนินการแล้ว หรือที่ผ่านความเห็นร่วมกันว่าดี ก็จะไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย จึงจะจัดให้มีการจัดประชุมหารือกับผู้บริหารระดับสูงของแต่ละองค์กร เพื่อติดตามความก้าวหน้าการทำงาน
- การประชาสัมพันธ์การปฏิรูปการศึกษา ขอให้ประชาสัมพันธ์งานในแต่ละส่วนที่สามารถประชาสัมพันธ์ได้ เพื่อให้สังคม ผู้ปกครอง และชุมชนได้รับรู้ความก้าวหน้าการดำเนินงานของ ศธ. เช่น การมีส่วนร่วม และผลที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งมีแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจนสำหรับผู้บริหารทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา
- รายงานสถานการณ์และผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง
1) สถานศึกษาสังกัด ศธ.
สถานการณ์เดิม (13-22 มกราคม 2557)
- มีผลกระทบเฉพาะในส่วนกรุงเทพฯ จำนวนสถานศึกษาที่ปิดเรียนสูงสุดในวันแรก (13 มกราคม 2557) จำนวน 117 แห่ง จาก 1,147 แห่งทุกสังกัด คือ สพฐ. อาชีวะ อุดมศึกษา และเอกชน
- จำนวนนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ 349,832 คน ครู บุคลากร 51,617 คน
- จนถึงวันนี้ สถานศึกษาทุกแห่งในกรุงเทพฯ เปิดเรียนครบแล้ว แต่ก็ยังมีผลกระทบกับการเดินทางมาเรียนของนักเรียนนักศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษามาก
- ข้อมูลวันนี้ พบว่ามีนักเรียนนักศึกษาที่ขาดเรียนร้อยละ 1–29 บุคลากรไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้ร้อยละ 1–4 ขึ้นอยู่กับสถานศึกษาที่อยู่ใกล้/ไกลจากสถานที่ชุมนุม
สถานการณ์ปัจจุบัน (23 มกราคม 2557) ได้มีการขยายการปิดสถานศึกษาใน 14 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะ สถานศึกษาของอาชีวศึกษา ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 80 แห่ง วันนี้ปิดเรียน 46 แห่ง ดังนี้
- จังหวัดที่ปิดเรียนทั้งจังหวัด รวม 6 จังหวัด คือ ชุมพร 7 แห่ง, สุราษฎร์ธานี 7 แห่ง, นครศรีธรรมราช 11 แห่ง, พัทลุง 6 แห่ง, สงขลา5 แห่ง, กระบี่ 5 แห่ง และสตูล 3 แห่ง (รวม 44 แห่ง)
- จังหวัดที่มีการปิดเป็นบางแห่ง รวม 1 จังหวัด คือ ตรัง ปิด 2 แห่ง จากจำนวนทั้งสิ้น 7 แห่ง
- จังหวัดที่เปิดเรียนตามปกติ รวม 6 จังหวัด คือ ภูเก็ต 4 แห่ง, ระนอง 3 แห่ง, พังงา 4 แห่ง, ยะลา 5 แห่ง, ปัตตานี 6 แห่ง และนราธิวาส 2 แห่ง
- สถานศึกษาของเอกชน ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 280 แห่ง เปิดเรียนตามปกติแล้ว
- สถานศึกษาสังกัดอื่นๆ กำลังรอข้อมูล
มาตรการในการรับมือผลกระทบของ ศธ.
- แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังสภาวะวิกฤติฯ โดยมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการฯ โดยมีรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (นายศุภกร วงศ์ปราชญ์) เป็นประธาน ซึ่งมีการประชุมทุกวัน เวลา 9.00 น.
- จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังสภาวะวิกฤติฯ และคณะทำงานจัดตั้งศูนย์ฯ
- กำหนดมาตรการเฝ้าระวังและการเผชิญเหตุจากการชุมนุมทางการเมืองของ ศธ.
- กำหนดแนวปฏิบัติกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาปิดล้อมสถานที่ราชการ
- แนวทางปฏิบัติงานในช่วงภาวะวิกฤติของหน่วยงานองค์กรหลักต่างๆ เช่น การติดต่อขอรับบริการผ่านสายด่วน 1579, One Stop Service ที่โรงเรียนสตรีวิทยา 2 และสถานที่ปฏิบัติงานสำรองต่างๆ ของแต่ละหน่วยงาน/องค์กรหลัก
2) การปิดล้อมโรงพิมพ์องค์การค้าของ สกสค.
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2557 กลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองได้บุกรุกเข้ามาในพื้นที่โรงพิมพ์องค์การค้าของ สกสค. ซึ่งชนะการประมูลในการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง โดยได้ทำการตัดไฟฟ้า ทำลายเครื่องพิมพ์ อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งบัตรเลือกตั้ง ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก เช่น โต๊ะควบคุมการจ่ายหมึกพิมพ์ จอควบคุมการทำงานและจอแสดงผลเครื่องพิมพ์ออฟเซทป้อนม้วน แผงวงจรตู้ควบคุมไฟฟ้า ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งกำลังประเมินมูลค่าความเสียหายทั้งหมด นอกจากนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมฯ ได้ให้พนักงาน/เจ้าหน้าที่องค์การค้าของ สกสค.ทุกคนออกจากโรงพิมพ์ และได้ปิดล้อมอีกครั้ง เมื่อวันที่ 18 และ20 มกราคม 2557 ทำให้องค์การค้าของ สกสค.ไม่สามารถดำเนินการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งต่อไปได้
องค์การค้าของ สกสค. จึงได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ได้กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อให้การจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งเสร็จทันตามกำหนดเวลา ซึ่งขณะนี้ได้ขออนุญาตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้องค์การค้าของ สกสค.นำบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์แล้วไปดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จ และนำบัตรที่ยังไม่ได้จัดพิมพ์ไปจัดพิมพ์ที่โรงพิมพ์ภายนอก รวมทั้งขอกำลังทหารและตำรวจมาคุ้มกันทรัพย์สินขององค์การค้าของ สกสค. ตลอดจนได้แจ้งความต่อสถานีตำรวจนครบาลโชคชัย และแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
ทั้งนี้ รมว.ศธ.ขอให้เร่งดำเนินการ ดังนี้
- เรื่องที่จะต้องทำให้ทันเปิดภาคเรียน ขอให้ สพฐ.ดำเนินการตามประกาศและปฏิทินการเปิดปิดภาคเรียน
- การทดสอบภาษาอังกฤษ ภาษาจีน สพฐ.จะต้องประสานและทำงานเชื่อมโยงกับ สอศ. สช. ทั้งการจัดห้องเรียน มีระบบวิชาเลือก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ หลักการคือ ต้องจัดห้องเรียนและลดจำนวนคน เช่น 20 คนต่อห้องเรียน แต่หากไม่มีระบบวิชาเลือกและมีการบังคับเด็กให้เรียนทั้งหมด ก็จะไม่ประสบความสำเร็จและเกิดการสูญเปล่า จะทำอย่างไรให้มีแนวปฏิบัติรองรับและมีการซักซ้อมเพื่อให้ระบบการเรียนวิชาภาษาจีนเกิดขึ้นได้จริงภายในปีการศึกษา 2557หากดำเนินการไม่ทันก็จะเกิดเสียเวลาไปอีก 1 ปี ซึ่งได้รับรายงานว่า สพฐ.ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำแนวปฏิบัตินำไปสู่การปฏิบัติในเรื่องภาษาจีน ได้ทบทวนระเบียบแนวปฏิบัติเดิมเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล รวมทั้งภาษาอังกฤษที่จะส่งเสริมให้มีวิชาสนทนาและการจัดห้องเรียนนั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องของ สพฐ. แต่ฝากให้ช่วยกันหารือกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี
สพฐ.ชูเรียนทวิภาษาปี 57
นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวตอนหนึ่งในการเสวนาหาแนวทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียนชายแดนและพื้นที่พิเศษ ว่า เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้พยายามหายุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้ที่ใช้ภาษาท้องถิ่นตามแนวชายแดนและพื้นที่พิเศษ โดยเฉพาะ การจัดให้มีการเรียนการสอนแบบทวิภาษา-พหุภาษาศึกษา ดังนั้น กระบวนการแก้ปัญหาต่อจากนี้ไปจะทำอย่างไรให้เด็กที่อยู่ตามชายแดนและพื้นที่ พิเศษมีโอกาสเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเนื่องได้ ซึ่งหาก สพฐ.ทำให้เด็กกลุ่มนี้อ่านออกเขียนได้ ก็จะทำให้เด็กได้ออกไปแสวงหาความรู้ด้านอื่นได้ด้วย
"เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้มีโอกาสเฝ้าฯรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นห่วงเรื่องพร้อมรับสั่งว่า อยากให้ สพฐ.แก้ปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากมีความห่วงใยเด็กในพื้นที่เหล่านี้ เพราะหากเด็กอ่านออกและเขียนภาษาไทยได้ ก็จะสามารถไปเรียนรู้ด้านอื่น ๆ ได้เช่นกัน" รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว
นายกมล กล่าวต่อว่า สพฐ.ได้นำร่องการจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษา 4 ภูมิภาคมีภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ ในโรงเรียน 11 แห่ง เน้นการพูดภาษาถิ่นเกิน 50% แต่หลังจากนี้ สพฐ.ตั้งเป้าจะขยายผลการเรียนการสอนในรูปแบบดังกล่าวไปอีก 29 โรง ในปี 2557 และในปี 2560 จะให้ครอบคลุม 1,600 โรงเรียน
ด้าน น.ส.ไพรวัลย์ พิทักษ์สาลี ผอ.สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่ามีโรงเรียนที่เด็กใช้ภาษาท้องถิ่นนอกจากภาษาไทยจำนวนมาก อาทิ ภาษาละหู่ อาข่า กะเหรี่ยง เมียน ไทยใหญ่ จีนฮ่อ ลีซอ ม้ง คะฉิ่น ละว้า มูเซอ อีก้อ ซึ่ง สพฐ.มีแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบทวิ-พหุภาษา ตั้งแต่ปี 2557-2560 ให้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ชายแดนในประเทศไทยรวมถึงให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่อย่างน้อย 4 แห่งจัดทำหลักสูตรปริญญาตรี เพื่อให้มีความรู้สามารถจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษาได้
"เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้มีโอกาสเฝ้าฯรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นห่วงเรื่องพร้อมรับสั่งว่า อยากให้ สพฐ.แก้ปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากมีความห่วงใยเด็กในพื้นที่เหล่านี้ เพราะหากเด็กอ่านออกและเขียนภาษาไทยได้ ก็จะสามารถไปเรียนรู้ด้านอื่น ๆ ได้เช่นกัน" รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว
นายกมล กล่าวต่อว่า สพฐ.ได้นำร่องการจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษา 4 ภูมิภาคมีภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ ในโรงเรียน 11 แห่ง เน้นการพูดภาษาถิ่นเกิน 50% แต่หลังจากนี้ สพฐ.ตั้งเป้าจะขยายผลการเรียนการสอนในรูปแบบดังกล่าวไปอีก 29 โรง ในปี 2557 และในปี 2560 จะให้ครอบคลุม 1,600 โรงเรียน
ด้าน น.ส.ไพรวัลย์ พิทักษ์สาลี ผอ.สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่ามีโรงเรียนที่เด็กใช้ภาษาท้องถิ่นนอกจากภาษาไทยจำนวนมาก อาทิ ภาษาละหู่ อาข่า กะเหรี่ยง เมียน ไทยใหญ่ จีนฮ่อ ลีซอ ม้ง คะฉิ่น ละว้า มูเซอ อีก้อ ซึ่ง สพฐ.มีแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบทวิ-พหุภาษา ตั้งแต่ปี 2557-2560 ให้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ชายแดนในประเทศไทยรวมถึงให้สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่อย่างน้อย 4 แห่งจัดทำหลักสูตรปริญญาตรี เพื่อให้มีความรู้สามารถจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษาได้
--คมชัดลึก ฉบับวันที่ 24 ม.ค. 2557
ลดจำนวนนักเรียนต่อห้องไม่ทันปี57 สพฐ.ระบุต้องประกาศล่วงหน้า
จากการประชุมสัมมนาการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2557 ในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง ที่ศูนย์การแสดงสินค้าอิมแพ็คเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีผู้บริหารโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง 293 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตนได้ขอให้ ผอ.โรงเรียนดังปฏิบัติตามประกาศนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียนปี 2557 อย่างเคร่งครัด เพราะที่ผ่านมามีข้อครหาว่าโรงเรียนมีการเรียกรับเงิน แลกที่นั่งเรียนมาโดยตลอด ซึ่งตนก็เข้าใจว่าโรงเรียนมีความจำเป็นที่จะต้องระดมทรัพยากร เนื่องจากรายจ่ายของโรงเรียนมากกว่างบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ แต่โรงเรียนก็ต้องหาวิธีระดมทรัพยากรที่อธิบายต่อสังคมได้ ซึ่งไม่ใช่ ช่วงที่มีการรับนักเรียน รวมถึงการรับนักเรียนตามเงื่อนไขพิเศษและความสามารถพิเศษก็ต้องมีหลักเกณฑ์ที่โปร่งใสและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา อย่าให้เกิดการประมูลเก้าอี้และต้องจำกัดจำนวนรับส่วนนี้ไม่เกิน 10 คนต่อห้องด้วย
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สพฐ. จำเป็นต้องเดินหน้าตามประกาศรับนักเรียนปี 2557 เรื่องรับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาห้องละ 40 คน ขยายได้ 10 คน รวมเป็น 50 คน แม้ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ จะมีนโยบายให้ลดขนาดห้องเรียนเหลือห้องละไม่เกิน 40 คน แต่การปรับเปลี่ยนใด ๆ ต้องมีการประกาศล่วงหน้า จึงยังไม่สามารถสนองนโยบายดังกล่าวได้ในปีนี้ แต่หลังจากการรับนักเรียนปี 2557 ผ่านพ้นไปแล้ว สพฐ. ก็จะปรับหลักเกณฑ์การรับนักเรียนปี 2558 โดยเน้นลดจำนวนเด็กเหลือไม่เกินห้องละ 40 คน พร้อมทบทวนการรับนักเรียนชั้น ม.4 ด้วย ทั้งนี้การลดจำนวน เด็กอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้โดยเฉพาะในกลุ่มโรงเรียนดัง เพราะฉะนั้นโรงเรียนก็ต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองก่อนที่จะมีการลดจำนวนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้
"นอกจากนี้ผมได้กำชับกับทางโรงเรียนด้วยว่า กระบวนการออกข้อสอบคัดเลือกนั้น จะต้องเป็นความลับและคณะกรรมการออกข้อสอบต้องไม่ส่งลูกหลานตัวเองเข้ามาสอบในโรงเรียนนั้น รวมถึงไม่ให้โรงเรียนออกข้อสอบเกินหลักสูตร และการออกข้อสอบจะต้องร่วมกันออกหลายคนไม่ใช่ให้คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ออก" นาย อภิชาติ กล่าวและว่า พร้อมกันนี้ตนได้ย้ำให้โรงเรียนจัด เจ้าหน้าที่รับสมัครนักเรียนในช่วงพักเที่ยงด้วย เพราะที่ผ่านมามีผู้ปกครองร้องเรียนมามาก และยังได้กำชับด้วยว่าในวันประกาศผลสอบจะต้องประกาศในวันที่กำหนดและ ต้องติดประกาศให้ผู้ปกครองและนักเรียนทราบไม่เกิน 6 โมงเช้าของวันที่จะประกาศด้วย.
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สพฐ. จำเป็นต้องเดินหน้าตามประกาศรับนักเรียนปี 2557 เรื่องรับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาห้องละ 40 คน ขยายได้ 10 คน รวมเป็น 50 คน แม้ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ จะมีนโยบายให้ลดขนาดห้องเรียนเหลือห้องละไม่เกิน 40 คน แต่การปรับเปลี่ยนใด ๆ ต้องมีการประกาศล่วงหน้า จึงยังไม่สามารถสนองนโยบายดังกล่าวได้ในปีนี้ แต่หลังจากการรับนักเรียนปี 2557 ผ่านพ้นไปแล้ว สพฐ. ก็จะปรับหลักเกณฑ์การรับนักเรียนปี 2558 โดยเน้นลดจำนวนเด็กเหลือไม่เกินห้องละ 40 คน พร้อมทบทวนการรับนักเรียนชั้น ม.4 ด้วย ทั้งนี้การลดจำนวน เด็กอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้โดยเฉพาะในกลุ่มโรงเรียนดัง เพราะฉะนั้นโรงเรียนก็ต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองก่อนที่จะมีการลดจำนวนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้
"นอกจากนี้ผมได้กำชับกับทางโรงเรียนด้วยว่า กระบวนการออกข้อสอบคัดเลือกนั้น จะต้องเป็นความลับและคณะกรรมการออกข้อสอบต้องไม่ส่งลูกหลานตัวเองเข้ามาสอบในโรงเรียนนั้น รวมถึงไม่ให้โรงเรียนออกข้อสอบเกินหลักสูตร และการออกข้อสอบจะต้องร่วมกันออกหลายคนไม่ใช่ให้คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ออก" นาย อภิชาติ กล่าวและว่า พร้อมกันนี้ตนได้ย้ำให้โรงเรียนจัด เจ้าหน้าที่รับสมัครนักเรียนในช่วงพักเที่ยงด้วย เพราะที่ผ่านมามีผู้ปกครองร้องเรียนมามาก และยังได้กำชับด้วยว่าในวันประกาศผลสอบจะต้องประกาศในวันที่กำหนดและ ต้องติดประกาศให้ผู้ปกครองและนักเรียนทราบไม่เกิน 6 โมงเช้าของวันที่จะประกาศด้วย.
--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 24 ม.ค. 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น